Mohawk บริษัทหมื่นล้าน ที่ออกแบบสินค้าจากปัญญาประดิษฐ์ /โดย ลงทุนแมน
หลายครั้งที่แบรนด์หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ทุ่มงบลงทุนในทีมบุคลากร สำหรับวิจัยและพัฒนา
เพื่อผลิตสินค้าที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
แต่รู้หรือไม่ว่ามีบางบริษัทที่เลือกจะใช้ “ปัญญาประดิษฐ์” แทนความคิดจากสมองมนุษย์
โดยการนำข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้ามหาศาลเป็นจุดตั้งต้น ก่อนการออกแบบและผลิตสินค้า
หนึ่งในนั้นก็คือบริษัทที่ชื่อว่า Mohawk เป็นบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค สัญชาติอเมริกัน
ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาในปี 2014 แต่ก็สามารถจดทะเบียนเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จหลังจากทำธุรกิจเพียง 5 ปี
ปัจจุบัน Mohawk มีมูลค่ามากถึง 2.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นมาเป็น 3 เท่า เมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อน
แล้วโมเดลธุรกิจของ Mohawk น่าสนใจอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Mohawk เป็นบริษัทที่ขายสินค้าอุปโภคบริโภคโดยมีช่องทางการขายหลัก
เป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ เช่น Amazon, Walmart, eBay และ Shopify
สำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทก็มีตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า, อุปกรณ์ภายในบ้าน ไปจนถึงอุปกรณ์สำหรับดูแลสุขภาพ โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดนี้ Mohawk ไม่ได้ผลิตเองแต่อาศัยการผลิตจากโรงงานคู่สัญญาแทน
ปัจจุบันมีแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ Mohawk ถึง 11 แบรนด์ด้วยกัน และมีผลิตภัณฑ์หลากหลายถึง 400 SKUs
แล้ว Mohawk ต่างจากบริษัทขายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปอย่างไร ?
โดยปกติแล้วเมื่อบริษัทต้องการปล่อยผลิตภัณฑ์หนึ่งเข้าสู่ตลาด
บริษัทนั้นจะต้องทำการค้นคว้าข้อมูลและวิจัยความต้องการของลูกค้าก่อน
ผ่านการลงไปสำรวจจากกลุ่มลูกค้าจำนวนหนึ่ง
เมื่อคิดผลิตภัณฑ์สำเร็จแล้ว ก็จะเข้าสู่กระบวนการผลิตตัวต้นแบบ
ซึ่งบริษัทต้องนำตัวต้นแบบมาให้กลุ่มลูกค้าขนาดเล็กทดสอบก่อน
เพื่อฟังผลตอบรับและนำไปปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตรงใจกับลูกค้ามากที่สุด
หลังจากนั้นเมื่อผลิตภัณฑ์เข้าสู่การจัดจำหน่าย
บริษัทก็ต้องจ้าง Agency สำหรับช่วยในการทำการตลาดเพื่อให้เป็นที่รู้จัก
ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้จะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2 ปี
แต่กลับกัน Mohawk สามารถร่นระยะเวลาให้เหลือเพียงแค่ 8 เดือนเท่านั้น
และสามารถลดค่าใช้จ่ายได้อย่างมหาศาล
Mohawk ทำได้อย่างไร ?
ต้องบอกว่าขั้นตอนของ Mohawk คล้ายกับบริษัทอื่น
ที่ต้องค้นคว้าสำรวจความต้องการของลูกค้าก่อนแล้วถึงจะนำไปสู่การสร้างผลิตภัณฑ์
เพียงแต่วิธีการต่างกันระหว่าง Mohawk กับบริษัทอื่น คือการนำ Big Data เข้ามาช่วย
โดยเริ่มแรก Mohawk จะเข้าไปทำการดึงข้อมูลจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ
เช่น สินค้าประเภทไหนได้รับความนิยมในขณะนั้น คะแนนรีวิวเป็นอย่างไร
ข้อเสียที่ลูกค้าร้องเรียนคืออะไร หรือตลาดของสินค้าใดกำลังมีศักยภาพในการเติบโต
เมื่อได้ข้อมูลมาเสร็จเรียบร้อยแล้ว
Mohawk จะใช้เครื่องมือวิเคราะห์ที่มีชื่อว่า “AIMEE”
ย่อมาจาก AI Mohawk eCommerce Engine
เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลว่าผลิตภัณฑ์ที่ควรสร้างเป็นไปในทิศทางไหน
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ทาง Mohawk สามารถลดระยะเวลาในการวิจัยและพัฒนา
และได้ผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า
และด้วยข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์บนปัญญาประดิษฐ์นั้นเกิดขึ้นจริง และมาจากธุรกรรมของลูกค้าหลายล้านราย นั่นจึงทำให้สินค้าที่ถูกออกแบบขึ้นมา สามารถเข้าไปแก้ไขปัญหาลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แค่นั้นไม่พอ AIMEE ยังช่วยในการทำการตลาดทันทีที่สินค้าได้วางจำหน่าย
เช่น การตั้งชื่อสินค้าให้สอดคล้องกับคีย์เวิร์ดที่กลุ่มลูกค้ามักค้นหา
และช่วยบริหารสินค้าคงคลังเพื่อให้เพียงพอต่อลูกค้า รวมถึงควบคุมต้นทุนอีกด้วย
จากข้อมูลทั้งหมดก็พอสรุปโมเดลธุรกิจหลักของ Mohawk ได้ว่า เป็นธุรกิจที่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าผสมผสานกับเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการและบริหารธุรกิจให้เกิดประโยชน์สูงสุด
แล้ว AIMEE สามารถสร้างความประทับใจแก่ลูกค้าได้จริงหรือไม่ ?
ถ้าหากวัดความพึงพอใจของลูกค้าผ่านคะแนนรีวิวบนแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ
ก็ต้องบอกว่า ผลลัพธ์ค่อนข้างน่าประทับใจ
โดยคะแนนรีวิวเฉลี่ยของสินค้าจาก Mohawk ได้ถึง 4.4 เต็ม 5 คะแนน
ซึ่งใกล้เคียงกับคะแนนเฉลี่ยจากแบรนด์ใหญ่อย่าง Amazon ที่ 4.3 คะแนน
และนอกจากนี้สินค้า 100 กว่า SKUs เคยติดอันดับ 1 ใน 5 ในการค้นหาบน Amazon
ผลประกอบการที่ผ่านมาของ Mohawk เป็นอย่างไร ?
ปี 2017 รายได้ 1,100 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 2,200 ล้านบาท เติบโต 100%
ปี 2019 รายได้ 3,500 ล้านบาท เติบโต 59%
ปี 2020 รายได้ 5,700 ล้านบาท เติบโต 63%
จากผลประกอบการเห็นได้ว่า Mohawk มีการเติบโตแบบก้าวกระโดด
ในขณะที่ปีวิกฤติโควิด 19 ที่ผ่านมา บริษัทก็ยังสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้จึงสะท้อนไปยังมูลค่าบริษัทของ Mohawk ที่ตอนนี้มีมูลค่าราว 2.5 หมื่นล้านบาท
เพิ่มขึ้นมาเป็น 3 เท่า เมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อน
แม้ว่า Mohawk เป็นบริษัทเกิดใหม่ที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีความเสี่ยง
ความเสี่ยงสำคัญสำหรับบริษัทแห่งนี้ก็คือ การมีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่เข้ามาแข่งขัน
อย่างในกรณีของ Mohawk ที่พึ่งพาแหล่งรายได้จากแพลตฟอร์มของ Amazon เป็นหลัก
หมายความว่าหากวันใดวันหนึ่ง Amazon เริ่มเข้ามารุกธุรกิจ
ผลิตสินค้าจากฐานข้อมูลด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่มี และนำมาวางขายแข่งกัน
วันนั้นก็อาจจะเป็นฝันร้ายของ Mohawk อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่านและนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://ir.mohawkgp.com/static-files/b5122a4a-139b-4645-820b-f61e36286a5b
-https://getbenchmark.substack.com/p/mohawks-e-commerce-play-
-https://player.vimeo.com/video/338114721
Search