1
ผมไม่เชื่อว่ามนุษย์จะทำได้ทุกอย่าง
แม้เชื่อว่าถ้ามีวินัยและความพยายาม มนุษย์สามารถทำในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้กระทั่งสำเร็จ แต่ก็ไม่คิดว่าคนคนหนึ่งจะทำทุกอย่างได้ดีในเวลาเดียวกัน
หนึ่งเรื่องที่ทุ่มเท เรากำลังแลกกับหนึ่งเรื่องที่ปล่อยมือไป
งานจึงช่วงชิงเวลาจากความสัมพันธ์ การหาความรู้จึงยื้อยุดเวลากับการออกกำลังกาย เฮฮากับเพื่อนฝูงจึงแย่งเวลากับห้วงสงบเมื่ออยู่ตามลำพัง
เรามัก 'เห็น' คนที่ทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ดี เพราะเมื่อทำได้ดีแสงสปอร์ตไลท์จะจับจ้องไปที่ตัวเขา ผู้คนในสื่อจำนวนมากคือคนที่ประสบความสำเร็จ แต่ที่จริงมีวงเล็บต่อท้ายว่า (ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง) สำหรับบางคนอาจสำเร็จหลายเรื่อง กระนั้นก็มีวงเล็บอยู่ดีว่า (แต่ไม่ใช่ทุกเรื่องในชีวิตหรอก)
เพราะหนึ่งความสำเร็จนั้นแลกมาด้วยการยอมเสียอะไรไปบางอย่าง สิ่งที่เขาเสียไปเราอาจไม่เห็นและไม่รู้
ขณะที่คนที่จัดสมดุลชีวิตได้ดีอาจไม่ใช่คนโดดเด่น เพราะเขาอาจไม่เก่งเป็นที่หนึ่ง แต่เก่งพอประมาณ มีความสุขกับชีวิต และมีเวลากับเรื่องที่ตัวเองอยากทำ รักษาสัมพันธ์ได้กลมกล่อม คนแบบนี้ถ้าให้คะแนนในด้านต่างๆ อาจประมาณ 7 คะแนน แต่ทุกช่องไม่มีต่ำกว่า 7 จึงไม่ค่อยมีใครสนใจเขา
ท่ามกลางการรับรู้ผ่านสื่อ เรามักให้ความสนใจกับคนที่ได้คะแนนเต็ม 10 หรือทะลุไปถึง 15 ในด้านใดด้านหนึ่ง แต่เราไม่มีวันรู้เลยว่าถ้าต้องกรอกคะแนนให้ตัวเองในช่องอื่น เขาจะกรอกคะแนนเท่าไร เป็นไปได้ว่าบางช่องอาจได้แค่ 2 คะแนนจากเต็มสิบ
...
2
เป็นไปได้ไหมว่าการรับรู้เช่นนี้ทำให้เราอาจเป็นคนที่มีคะแนนเต็มสิบอยู่ตลอดเวลา และถ้าเป็นไปได้เราก็อยากเต็มสิบในทุกช่องของชีวิต
งานดี กีฬาเด่น ครอบครัวสุขสันต์ จิตใจสดใส เที่ยวก็ได้ไป หนังก็ได้ดู ดนตรีได้เล่น ดำน้ำลึก ฝึกปีนผา เป็นอาสาเพื่อชุมชน อ่านหนังสือร้อยเล่มต่อปี พูดบาลีคล่อง อ่านสเปนออก จัดดอกไม้เป็น คิดเห็นเป็นนวัตกรรม ก้าวทันเทคโนโลยี มีสตาร์ทอัพยูนิคอร์น สอนลูกให้เก่งกว่าลูกข้างบ้าน เบิกบานเป็นอิสระทางการเงิน ฯลฯ อีกมากมาย
เรานำเอาคุณสมบัติ 'เต็มสิบ' ของทุกคนทุกเรื่องราวที่เสพมาวางไว้บนบ่าตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แรงปรารถนานั้นบอกว่าฉันอยากเป็นให้ได้
ความคาดหวังมากมายกับตัวเองอาจนำพาความคาดคั้นเพื่อดึงศักยภาพสูงสุดของเราออกมาในทุกมิติโดยเชื่อว่ายังมีอีก 'หลายก๊อก' ซุกซ่อนอยู่ในตัวเรา ราวน้ำพุไม่มีวันเหือด
...
3
กระนั้น, ความจริงมีอยู่ว่า พลังและเวลาของมนุษย์มีจำกัด
เมื่อทุ่มให้กับอะไรสักอย่างย่อมมีบางอย่างถูกปล่อยปละไป-\-\นี่คือสัจธรรมอันมิอาจเลี่ยง
การพยายามประคับประคองทุกอย่างเอาไว้ด้วยสองมือกับยี่สิบสี่ชั่วโมงที่มีเท่าเดิมมีโอกาสที่จะสร้างบาดแผลในใจให้เกิดขึ้น ยิ่งนานก็ยิ่งบอบช้ำและลงลึก
ผมค่อยๆ เข้าใจผ่านประสบการณ์ปรารถนาฉวยคว้าทุกอย่างไว้และทำให้เต็มที่ที่สุดด้วยคำตอบง่ายๆ กับตัวเองว่า-\-\มึงทำไม่ได้หรอก
ประหลาดแท้! ทันทีที่ยอมรับว่าเราทำทุกอย่างให้เต็มสิบไม่ได้หรอก ทันใดนั้นภูเขายักษ์นาม 'ความคาดหวัง' ก็ไหลหล่นลงจากบ่าหายวับไปกลายเป็น 'ที่ว่าง' ให้ผมเลือกสิ่งที่อยากนำมาวางไว้บนบ่าของตัวเองใหม่
ไม่ใช่ 'ทุกอย่าง' อีกต่อไป แต่เป็นเพียง 'บางอย่าง' ที่สำคัญในช่วงเวลานี้
บางอย่างที่ยังไม่ต้องทำให้สำเร็จตอนนี้ ผมเลื่อนเวลาออกไปก่อน หากต้องกรอกคะแนนมันอาจจะเป็น 0 ในตอนนี้ เช่น หนังสือบางเล่มที่ตั้งใจเขียนให้เสร็จภายในปลายปีนี้ ผมลองพักวางไว้และจะใช้สมาธิตั้งใจเขียนให้จบภายในปีหน้าแทน เมื่อคิดได้ก็เบาใจไปเยอะ
...
4
"ค่อยๆ สำเร็จทีละเรื่อง" คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้ เพราะสำเร็จพร้อมกันทุกเรื่องนั้นกดดันตัวเองเกินไป เรามีชีวิตยืนยาวพอที่จะให้เรา "ค่อยๆ ทำ" ระหว่างน้ันจะได้ใช้เวลาไปกับมิติอื่นในชีวิตไปพร้อมกันด้วย
เมื่อเลือกน้อยสิ่งเราจะใส่ใจและใส่พลังลงไปกับมันได้มากขึ้น สำคัญกว่านั้น, เราจะมองเห็นตัวเองตามความเป็นจริงมากขึ้นว่า "มึงไม่ใช่ซูเปอร์แมน" และที่สำคัญที่สุดคือ-\-\เราไม่ต้องเป็นซูเปอร์แมน
เป็นมนุษย์ธรรมดาๆ ที่เกลี่ยคะแนนชีวิตในช่องต่างๆ ให้มีค่าเฉลี่ยที่น่าพอใจ จากเคยมีช่องที่ได้ 15 เต็มสิบ ก็เกลี่ยมาให้กลายเป็น 7 คะแนน แล้วแบ่งคะแนนไปใส่ช่องที่เคยเป็น 0 หรือ 2 ให้กลายเป็น 7 แทน
คนอาจไม่ปรบมือให้เราหรอก เพราะช่องที่คะแนนเพิ่มขึ้นนั้นอาจไม่มีใครเห็นหรือรับรู้ แต่ตัวเรารับรู้อยู่ด้วยหัวใจที่เป็นสุขขึ้น เสียงหัวเราะของคนรอบตัวที่เรามีเวลาได้ฟังบ่อยขึ้น มิตรภาพที่แน่นแฟ้นกว่าเดิม
ที่สำคัญ, เราไม่รู้สึกกดดันตลอดเวลา ซึ่งจะว่าไปอาจไม่มีใครกดดันเราเลย แต่เป็นตัวเรานั่นเองที่กดดันให้ตัวเองต้องเก่งทุกด้าน ทำทุกสิ่ง และสำเร็จทุกอย่างมากเกินไป
...
5
กระนั้นก็ใช่ว่าการทำเช่นนี้จะไม่ต้องแลกกับอะไรเลย แลกสิครับ แลกเหมือนกัน มันแลกกับการที่กลายเป็นคนที่ไม่สำเร็จมากมาย ไม่โดดเด่นนัก ไม่เป็นซูเปอร์แมน
เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องช่วงเวลาของชีวิต บางช่วงของชีวิตเราอาจไม่พร้อมแลก แต่บางช่วงเราก็อาจอยากแลก และไม่อยากเป็นซูเปอร์แมนอีกต่อไปแล้ว
สำหรับผม, ซึ่งผ่านช่วงวัยหนุ่มอันร้อนแรงลุกโชนมาแล้ว, ข้อดีที่สุดของวัยสี่สิบปีคือการยอมให้ตัวเอง 'ไม่ทำ' หรือ 'ไม่สำเร็จ' หรือ 'ไม่เก่ง' บ้างในบางเรื่อง เพื่อใช้เวลาไปกับสิ่งอื่นที่สำคัญไม่น้อยกว่ากัน เช่น ความสงบในใจ การใช้เวลากับพ่อแม่ที่แก่ชราลง และเสียงหัวเราะของเพื่อนเก่าที่เข้าใจกัน
ในวัยหนุ่มกว่านี้ผมชอบตัวเลข 10 และอยากดันตัวเองให้ทะลุไปถึง 11 หรือมากกว่านั้น แต่ในวัยนี้ผมชอบตัวเลข 7 ซึ่งถ้าเป็นคะแนนสอบก็คือ ผ่านมาได้แบบกำลังดี และเมื่อทุกวิชาได้ 7 แล้ว เราก็ไปเน้นในบางวิชาในบางเทอมให้ได้ 10 สักครั้ง ทีละเรื่องก็พอ เท่านี้ก็เป็นชีวิตที่น่าพอใจ
ผมทบทวนเรื่องนี้บ่อยขึ้นเรื่อยๆ ว่า สิ่งที่เรากำลังทุ่มพลังและเวลาให้นั้น เราแลกมันกับอะไร
และมันคุ้มหรือไม่ที่เราจะแลก
1
I don't believe humans can do anything.
Even though I believe that if discipline and effort, human beings can do what seems impossible, even succeed, but they don't think one person will do everything well at the same
One dedicated story. We are in exchange for one that let go.
So the job takes time from the relationship. Finding knowledge, so I hold on time with exercise. Fun with friends. So I steal time with peace when they are alone.
We always 'see' people who do something well because when we do well, spotlight will stare at him. Many people in the media are successful people, but in fact, there is a parence (in something) for Some people may accomplish many things. There is a bracket (but not everything in life)
Because one success comes by losing something. What he lost, we may not see and not know.
While a person who balances life well may not be outstanding because he may not be good at first, but moderately, happy with life and have time with what he wants to do. Keep relationship. This kind of person. If you rate in different aspects, it may be approx. 7 POINTS BUT EVERY CHANNEL IS NOT LESS THAN 7 so nobody cares about him.
In the midst of media awareness, we often pay attention to people who score 10 or through 15 on one side. But we never know how much points to fill in other fields, they will fill in other points. It's possible. The channel may only get 2 points out of ten.
...
2
Is it possible that perception like this makes us to be the one with a full ten score all the time? and if possible, we want to be full ten in every channel of
Good work, Sports, happy family, bright mind, you can travel, go to movies, watch music, play scuba diving, practice climbing, volunteer for the community, read a hundred books a year, speak bali fluently, read Spain, arrange flowers as an innovation, move in time for technology Cuddle unicorns teach kids to be better than the kids next door. Cheerful, financially independent, etc.
We bring the 'full ten' qualities of everyone. Every story that I use on my shoulder unintentionally, but the desire says I want to be.
Many expectation with ourselves may bring out our highest potential in every dimension, believing that there are 'many taps' hidden in us. The Fountain will never be seen.
...
3
However, the truth is that human power and time are limited.
When you give to something, something will be released -\-\ this is the cuddle truth that cannot avoid.
Trying to hold everything with two hands and twenty-four hours with the same. There is a chance to create wounds in your heart. The longer it takes, the more traumatized and deep.
I slowly understand through experience, desire, seize everything and do my best with a simple answer to myself -\-\ you can't do it.
So weird! As soon as I admit that we can't do everything to the full ten, suddenly a giant mountain named ' expectation ' fell from my shoulder. Cuddle baht to become ' space '. Let me choose what I want to put on my shoulder.
NOT ' everything ' anymore, but just ' something ' that matters in the moment.
Something that hasn't had to be accomplished. Now I have to postpone the time. If I have to fill out the score, it may be 0 now. Such as some books that I intended to finish writing by the end of this year. I tried cuddle put it and I End of next year instead. When I think about it, it's too light.
...
4
" gradually successful one by one " is what I learned because everything is done together. It's too pressure on ourselves. We live long enough to " slowly do " between cuddle am so that we can spend time with other dimensions in life together.
When we choose less, we will pay more power and put more energy. More important, we will see ourselves in fact that "you are not superman" and the most important thing is -\-\ we don't have to be superman.
I am a normal human being who spreads life in various channels to have a satisfying average. There was a channel that got 15 full of ten, it into 7 points and then divided the points to the channel that used to be 0 OR 2 Let's become 7 instead
People may not applaud us because the channel where the score may not see or know, but we know with a happier heart. The laughter of those around us have more often. Stronger friendship.
Most importantly, we don't feel pressure all the time. No one may pressure us, but it's me who pressure ourselves to be good at all aspects. Do everything and accomplish everything too much.
...
5
It's not that doing this doesn't have to exchange for anything. It's the same. It's in exchange for becoming a lot of unsuccessful. Not outstanding, not superman.
This is a moment of life. Some of our lives may not be ready to exchange, but sometimes we may want to trade and don't want to be superman anymore.
For me, who has passed the hot young age, the best thing of forty years old is to allow myself to ' not do ' or ' unsuccessful ' or ' not good ' in some things to spend time with other things that matter. Less, such as peace in mind, spending time with older parents and laughter of old friends who understand each other.
At a younger age, I like the number 10 and I want to push myself through 11 or more. But at this age, I like the number 7 which if it's a test score, it's good and when all subjects are fine. 7 and we go to focus on some subjects in some semester. 10 once at a time. This is enough. This is a satisfying life.
I review this more and more often what we are giving power and time we trade it for.
And is it worth us to tradeTranslated
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過209萬的網紅RADWIMPS,也在其Youtube影片中提到,The global outbreak of novel coronavirus has shaken up the world and many of us are being forced to let go of the life we are familiar with. Those wh...
light beings community 在 梁栢堅 Facebook 的最佳解答
幾間大和尚寺都開拖扯友打end game:男拔丶英皇丶聖類斯丶慈幼 #今次到聖租
【聖若瑟書院舊生、學生及教師就《逃犯條例》修訂草案之聯署聲明 | Statement from Old Boys, Students and Teachers of St. Joseph’s College Opposing the Amendment to the Fugitive Ordinance】
——————
ACT NOW!
聯署連結: https://forms.gle/AWD1SvQ49ghToWDw9
聲明(google doc版): https://docs.google.com/…/1SqpExdkHZdeXlxzUGusJd1LHqI…/edit…
——————
(please scroll down for the English version)
特區政府倉猝硬推《2019年逃犯及刑事事宜相互法律協助法例(修訂)條例草案》,激起香港市民以至國際社會強烈反彈。條例草案以司法互助之名,將在港人士引渡到司法獨立存疑的中國大陸受審,人權保障嚴重不足,情況教人擔憂。倘若通過,香港人珍重的自由、法治等核心價值定必再遭削弱。有見及此,我們一眾聖若瑟書院舊生、學生及教師發表聯署聲明,表達對《逃犯條例》修訂之不滿。
香港政府宣稱修訂條例旨在將台灣殺人案疑犯繩之於法,交付台灣審判,同時堵塞逃犯匿藏香港的漏洞。然而,台灣當局明確表示,修例「衍生諸多侵犯人權及人身安全疑慮的關切」。行政院大陸委員會多次強調,在未排除在港台灣人被移送到大陸的威脅之前,即使通過修例,台灣亦不會同意接收本案疑犯。政府希望通過修訂條例「彰顯公義」之說明顯站不住腳。事到如今,即使知道修例無法將台灣殺人案疑犯「繩之於法」,港府仍無意撤回草案,一意孤行。
程序公義是善政的基石。是次修例之過程極為倉猝,公眾諮詢期只有短短 20 日,社會各界無暇充分表達意見。建制派立法會議員為盡快通過條例,漠視議事規則,越權剝奪涂謹申議員主持選舉主席的法定職責。政府後來更認定法案委員會失效,動議將草案逕付大會審議,建制派議員護航通過,立法機關淪為橡皮圖章。
除台灣外,是次修例引起世界各地密切關注。5 月 23 日,美國國會及行政當局中國委員會向香港政府發信,擔心香港修訂逃犯條例將影響目前美國與香港之間的特殊關係,要求當局撤回這項立法修訂。5 月 24 日,歐盟駐港澳辦事處及其成員國外交代表亦向港府發外交照會,正式就「修例可能將在港人士送往中國大陸接受不公平審訊」提出抗議。
4 月 28 日,13萬市民上街遊行,反對修例。然而,政府漠視民意,一再削弱立法會的監督角色,意圖借修例把立法會在處理移交逃犯上的把關角色移除。此舉不僅有破壞三權分立之嫌,更引起港人及國際社會對於香港法治及「一國兩制」的憂慮。若然條例最終通過,美國政府可引用《美國-香港政策法》拒絕給予香港特殊地位,重創本港競爭力及營商環境。
人皆生而自由;在尊嚴及權利上均各平等。香港人引以為傲的制度保障每一個人的自由和基本權利,安定社會民心之餘成就了今時今日的繁榮。是次修例直接衝擊港人一直擁護的價值和宗旨,加上近年司法系統早已飽受侵擾,我們豈能視若無睹?倘若成功修例,代代香港人以血汗換來的長治久安終將毀於一旦,香港再不會擁有自己的名字。
我們一眾聖若瑟書院舊生、學生及教師希望藉聯署聲明表達對《逃犯條例》修訂的不滿。我們要求政府立即撤回草案,考慮社會各界提出「域外司法管轄權」、「賦予法庭實質審查權」、「港人港審」、「日落條款」等其他切實可行的方式處理台灣殺人案。我們始終相信法治、司法獨立和人權等價值對香港極為重要。是次修訂不僅影響香港的國際聲譽,更威脅港人的人身自由及安全。香港是我們的家,守護香港,我們義不容辭。
最後,我們希望兩位若瑟夫——石禮謙議員和林健鋒議員銘記母校教誨,三思而行,為香港以至下一代的未來著想,反對修訂《逃犯條例》。
一羣珍愛香港的若瑟夫
——————
Statement from Old Boys, Students and Teachers of St. Joseph’s College Opposing the Amendment to the Fugitive Ordinance
The HKSAR Government attempted to push the Fugitive Offenders and Mutual Legal Assistance in Criminal Matters Legislation (Amendment) Bill 2019 (Fugitive Ordinance Amendment Bill) through in the Legislative Council, sparking public outcry from not only Hong Kong, but also the international community. The Amendment Bill allows individuals in Hong Kong to be extradited to Mainland China, which has a less than credible judicial system. This is particularly worrying. Core values most cherished by Hong Kong people, such as liberty and rule of law, will further diminish. We, old boys, students and teachers of St. Joseph’s College are concerned with the situation, and we would like to express our views through this statement.
In the beginning, the HKSAR Government claimed that the Amendment was intended to bring the suspect of the Taiwan murder to justice. However, the Taiwanese Government indicated that the amendment “brought much attention to possible violation of human rights and personal safety”. On 9 May, the Mainland Affairs Council clearly stated that they would not accept any suspect extradited under the amended ordinance, before a clearance of threat to Taiwan citizens travelling to or residing in Hong Kong, of being transferred to Mainland China. The HKSAR Government’s contention to “uphold justice” simply cannot stand. Given how the events had unfolded, even though the amendment could not longer perform the function of putting away the Taiwan murder suspect, the HKSAR Government had no intention to withdraw the amendment bill.
Furthermore, the procedure to pass the bill is extremely hasty, the public consultation period lasting for only 20 days, there was no sufficient time for the public to voice their opinions. Pro-establishment Legislative Council members attempted to replace the host of the Bills Committee with Abraham Shek, also a pro-establishment councillor, with no regard to the convention of the Legislative Council on hosts, so as to further their cause of rushing through the bill. The Government later announced that the Bills Committee has “lost its function” and will disregard the Bills Committee and table the bill for second reading on 12 June, with no respect for the procedural fairness.
Besides Taiwan, the Amendment has raised international concern. On 7 May, the United States-China Economic and Security Review Commission (USCC) issued a letter to the HKSAR Government expressing concerns with the special relationship between Hong Kong and the US, demanding the authorities to withdraw the Amendment. On 24 May, the EU Office in Hong Kong and Macau together with diplomatic representatives of its member states issued a formal diplomatic demarche to the HKSAR Government, protesting the “possibility of individuals in Hong Kong sent back to China for unfair trials”.
On 28 April, 130,000 Hong Kong citizens marched on the streets, expressing their discontent in the Amendment. But the Government ignored the cries of the people, and further reduced the legislature’s power to regulate, by attempting to remove the Legislative Council’s power to act as a final guard in fugitive extradition. This does not only undermine the separation of powers, but also raises concern from Hongkongers and the International community on Hong Kong’s rule of law and “One Country Two Systems”. If the Amendment does get passed eventually, it might violate certain key provisions in the “United States - Hong Kong Policy Act”, damaging Hong Kong’s reputation of s safe business environment for American and International corporations. If the US Government cancels the Act in light of the Amendment, it would affect Hong Kong’s special status around the world, grievously damaging Hong Kong’s competitiveness and business environment.
All human beings are born free and equal in dignity and rights. They are endowed with reason and conscience and should act towards one another in a spirit of brotherhood. Our system protects each and every one of our rights and freedom, brings order to society. Hong Kong thrived under such privileged circumstances. The Amendment directly impacts the value and morals that we so treasure, on the other hand our judicial system has been wearing away every day for the past few years, we could not turn a blind eye to this. If the Amendment passes, the achievements of a few generations’ hard work and sacrifice will go up in flames. From that point there will be no turning back, Hong Kong will no longer have its own name.
We are old boys, students and teachers of St. Joseph’s College, and we hope to express our concerns and discontent in the Amendment Bill through this statement. We believe that the HKSAR Government should withdraw the Amendment Bill immediately, and consider plausible suggestions from society, like “Extraterritorial Jurisdiction”, “Hong Kong trials for Hongkongers” and “Sunset Clauses”, in order to settle the Taiwan murder. Rule of law, judicial independence, human rights are crucial values to Hong Kong. The Amendment not only damages Hong Kong’s international reputation, but is also a serious threat to the liberty and safety of each and every single Hong Kong citizen. Hong Kong is where we grew up, and we ought to protect it.
We will bravely defend the cause of the right, and march forward with courage in ways that are just.
Lastly, we sincerely hope that while Hon Abraham Shek and Hon Jeffrey Lam, both Josephians, are in their life’s earnest battle, they could be true to their standards learnt from their alma mater, be doing and daring, and for the sake of Hong Kong and future generations, oppose the Amendment.
Josephians who love Hong Kong dearly
light beings community 在 RADWIMPS Youtube 的最佳解答
The global outbreak of novel coronavirus has shaken up the world and many of us are being forced to let go of the life we are familiar with. Those who are infected with the virus were first treated as victims, but now they are considered as victimizers, a threat to others, and are feeling unnecessary indignity and distress in the process.
Not knowing who is infected, including ourselves, creates and spreads fears that lead to bigotry and discrimination pitting one community or one nation against the other. Fears that the whole nation may be put in a state of chaos and paralysis are causing all sorts of social disruptions such as hoarding facial masks and other supplies or the rise in racist sentiment including hurling abuses and refusing entry to restaurants and public facilities. Fear, hatred, and cruelty of human beings seem more terrifying than the virus itself. That is why I strongly believe that it is necessary to remain calm, get facts right, and reach out and help each other.
We and the supporters in China discussed and decided to create a song for Chinese people living in anxiety and fear, and I immediately started to work on a piece, hoping to help in whatever way possible. The work is now finished and we decided to distribute it for free in China. And this music and video is now available for streaming in other countries as well.
In the process of creating this piece of music I recognize that this is a song for not only Chinese people but also Japanese and all the people around the world who are fighting the threat of COVID-19.
There is only so much what music can do, but I believe that many of us find solace in music. As I wrote in the lyrics to this song, I truly hope that when the outbreak winds down and normalcy is restored even if we are not totally unscathed, we will be able to laugh about it with our families and friends. Until then, we are going to hang in there.
Yojiro
世界的な流行をみせる新型コロナウィルスの流行にともない、多くの人が普段とは違う生活を強いられています。本来「被害者」であるはずの感染者は、いつのまにか「加害者」へと見られ方を変え窮屈な想いをしながら日々を生活しています。どこに感染者がいるか分からない、自分が感染しているかもしれないという恐怖が伝播し、それは地域単位、国単位の差別的な偏見をも助長させます。社会機能の麻痺や混乱が来る恐れから、あらゆる歪みも生じてきています。マスク、生活用品の買い占め、特定の人種への迫害、心ない言葉、飲食店や公共施設などへの立ち入り拒否。ウィルスよりも恐ろしいのは人間の恐怖心や憎悪、冷酷さなのかもしれません。こんな時こそ冷静な判断、情報収集、そして手を取り合う心が必要なのではと強く感じます。
今回、中国でお世話になっている方々から「中国で不安な生活を送る人たちを励ます曲を作ってはもらえませんか」と提案を受けました。ぜひ力になれるのならばと、急いで楽曲の制作に入りました。そして今回完成にこぎつけることができ、無料で中国内の皆さんへ配信することを決めました。
曲を作りながら、これは中国の方に向けたものであると同時に日本、そして世界中でウィルスの脅威と闘うすべての人に向けた曲だと感じました。そして今回、他の国々でのストリーミングと映像の公開もできることになりました。
音楽にできることはとても小さいです。でも時にその小ささに救われることもあるのではと、僕は思っています。歌詞の中でも書きました。この事態が無事終息し、無傷ではなくとも平穏な日々が戻ってきた時には「あの時は本当どうなるかと思ったね」と笑いながら皆大事な家族や友と話ができたらいいなと心から願っています。その時まで、皆で頑張り抜きたいです。
洋次郎
■Lyrics
English
https://radwimps.jp/lightthelight/lyrics/en/
Japanese
https://radwimps.jp/lightthelight/lyrics/
Chinese
https://radwimps.jp/lightthelight/lyrics/cn/
■Music streaming
https://linkco.re/1ErEycQ1
Alive Painting : Akiko Nakayama
Director : Daisuke Shimada
Assistant Director : Mizuki Jin
Cinematographer : Yuki Nakamura(Gonshiro)
D.I.T : Yosuke Tominaga(Gonshiro)
Lighting : Osamu Yamamori
Producer : Koji Takayama