ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2 /โดย ลงทุนแมน
“ซิลิคอนแวลลีย์ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นวิธีคิด”
คำกล่าวของ Reid Hoffman ผู้ก่อตั้ง LinkedIn แพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน ที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตซิลิคอนแวลลีย์
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ในแง่สถานที่ ซิลิคอนแวลลีย์ คือ พื้นที่หุบเขาราว ๆ 1,500 ตารางกิโลเมตร บริเวณรอบอ่าวซานฟรานซิสโก ทางตะวันตกของสหรัฐอเมริกา
ซิลิคอนแวลลีย์ประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ ที่ล้วนเป็นสถานที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของเหล่าบริษัทไอทีชั้นนำระดับโลก โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากคำว่า “ซิลิคอนชิป” ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่เป็นหน่วยความจำของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ส่วนในแง่วิธีคิด มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดปลูกฝังการศึกษาด้านอิเล็กทรอนิกส์ให้งอกงาม ไปพร้อม ๆ กับการพัฒนากระบวนการผลิตนักศึกษาให้เป็นนักธุรกิจ
จนนำมาสู่การก่อตั้งบริษัทไอทีระดับโลกแห่งแรกในซิลิคอนแวลลีย์ คือ Hewlett Packard (HP)
หลังจากนั้น หุบเขาแห่งนี้ก็เบ่งบานไปด้วยบริษัทไอที ดึงดูดนักประดิษฐ์และผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยีจากทั่วโลก ให้เข้ามาสานฝันให้กลายเป็นความจริง
และเมื่อมี “วิธีคิด” ช่วยส่องสว่าง นวัตกรรมทุกอย่างก็จะมีหนทางไป..
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สหรัฐอเมริกา จึงเป็นประเทศแห่ง อุตสาหกรรมไอที ? ตอนที่ 2
ด้วยอาณาบริเวณกว้างใหญ่รอบอ่าวซานฟรานซิสโก ต้นน้ำแห่งนวัตกรรมของซิลิคอนแวลลีย์จึงไม่ได้มีแค่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเท่านั้น
แต่เหนือขึ้นมาราว 50 กิโลเมตร ยังเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลกอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเบิร์กลีย์
มหาวิทยาลัยแห่งนี้ก่อตั้งในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และสร้างนักประดิษฐ์ วิศวกร ไปจนถึงผู้ประกอบการชั้นยอดมากมาย มาประดับวงการไอที
หนึ่งในนั้นคือ Fred Moore ผู้ก่อตั้งสมาคมคอมพิวเตอร์โฮมบรูว์ สมาคมที่เป็นสถานที่นัดพบของผู้คลั่งไคล้ในโลกของเทคโนโลยี เป็นที่แลกเปลี่ยนทางความคิด
โดยความปรารถนาสูงสุดของผู้คนในสมาคมนี้ คือการสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลขึ้นมาเอง
ในช่วงปี 1975 ที่มีการก่อตั้งสมาคมแห่งนี้
ความสำเร็จของการประดิษฐ์ “ไมโครโพรเซสเซอร์” ที่ย่อส่วนแผงวงจรรวมจำนวนมากเข้ามาอยู่ด้วยกันในชิปขนาดเล็ก
ทำให้ขนาดของเครื่องคอมพิวเตอร์จากที่มีขนาดใหญ่โตเท่าห้อง มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ราคาก็ถูกลงเรื่อย ๆ และด้วยหน่วยความจำที่มากขึ้น ความสามารถในการทำงานจึงสูงขึ้นและรวดเร็วขึ้นเป็นทวีคูณ
Steve Wozniak นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์ ได้ชักชวนเพื่อนสมัยมัธยมที่ชื่อ Steve Jobs ให้มาเข้าร่วมสมาคมคอมพิวเตอร์แห่งนี้..
Steve Wozniak เป็นผู้คลั่งไคล้ในวิศวกรรมและมีความสามารถในการประดิษฐ์คิดค้น เคยทำงานให้กับ Hewlett Packard
ส่วน Steve Jobs เป็นผู้มีหัวการค้า มีนิสัยกล้าคิดกล้าทำ เขาเคยทำงานให้กับบริษัทสร้างวิดีโอเกมชื่อ Atari และเคยทำงานในช่วงฤดูร้อนให้กับ Hewlett Packard ด้วยเช่นกัน
Wozniak ได้นำความรู้และประสบการณ์มาทดลองออกแบบคอมพิวเตอร์ด้วยแนวทางของตัวเอง โดยใช้ชิปเท่าที่จะหาได้ มาประกอบกับคีย์บอร์ด QWERTY และมีจอโทรทัศน์เป็นเครื่องแสดงผลในช่วงแรกเริ่ม
และเมื่อออกมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล Jobs ก็เป็นผู้เสนอความคิดให้ลองนำสิ่งประดิษฐ์นี้ออกวางขายในเวลาต่อมา
ผลงานการประดิษฐ์ชิ้นนั้นของ Wozniak ถือเป็นคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะรุ่นแรก ๆ ของโลก เครื่องคอมพิวเตอร์นี้ถูกตั้งชื่อต่อมาว่า “Apple I”
สิ่งสำคัญไม่แพ้การสนับสนุนจากสถาบันการศึกษาก็คือ “เสรีภาพทางความคิด”
ซิลิคอนแวลลีย์ มีสมาคมมากมายที่เป็นสถานที่แลกเปลี่ยนทางความคิด นำเสนอไอเดีย จึงกลายเป็นวัฒนธรรมที่หล่อหลอมให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำ และเติบโตไปบนหนทางสร้างสรรค์ที่ตัวเองตั้งใจ
คอมพิวเตอร์ของ Wozniak ก็ถูกนำเสนอแก่สายตาสมาชิกในสมาคมโฮมบรูว์ในช่วงปลายปี 1975 ซึ่งหนึ่งในผู้เข้ามาร่วมชม คือ เจ้าของร้าน The Byte Shop ร้านขายของเบ็ดเตล็ดและอุปกรณ์ไอที
ที่เกิดความประทับใจกับคอมพิวเตอร์ชิ้นนี้มาก จึงได้สั่งซื้อคอมพิวเตอร์นี้ถึง 50 เครื่อง
แล้วก้าวแรกของบริษัท Apple ก็เริ่มต้นขึ้นในเมืองคูเปอร์ติโน ทางตอนใต้ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในอีก 1 ปีถัดมา..
ใครจะไปเชื่อว่า จากบริษัทเล็ก ๆ ที่มีผู้ก่อตั้งเป็นผู้คลั่งไคล้เทคโนโลยี 2 คน
ในปี 1980 หลังการก่อตั้งเพียง 4 ปี บริษัทสามารถเติบโตจนเข้าระดมทุนในตลาดหุ้นในฐานะบริษัทมหาชนได้สำเร็จ และได้กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก ในตอนนี้..
เมื่อมีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแล้ว อีกหนึ่งก้าวสำคัญของซิลิคอนแวลลีย์ ก็เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1970s
นั่นก็คือ จุดเริ่มต้นของ “อินเทอร์เน็ต”
เมื่อบริษัทไอที ชื่อ Xerox ได้จัดตั้งศูนย์วิจัยในเมืองพาโล อัลโต ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ชื่อว่า Xerox Palo Alto Research Center หรือ Xerox PARC
Xerox PARC ได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมต่อ จากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง ในยุคแรกที่มีชื่อว่า ระบบอีเทอร์เน็ต (Ethernet)
อีเทอร์เน็ต ถูกพัฒนาขึ้นในปี 1973 โดยเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์กับเครื่องพิมพ์ ผ่านเครือข่ายบริเวณระยะใกล้ หรือเครือข่าย LAN (Local Area Network)
ต่อมาในปี 1978 Vint Cerf ศิษย์เก่าจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้ร่วมมือกับ Bob Kahn พัฒนาโพรโทคอล TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
ซึ่งโพรโทคอลที่ว่านี้ คือชุดของขั้นตอนและกฎระเบียบ ทำให้ภายในชุดกฎระเบียบเดียวกัน ทั้ง 2 เครื่องจะสามารถเข้าใจระบบของกันและกัน และสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกันได้
โดยเฉพาะเลข Internet Protocol (IP) ที่เป็นการปูรากฐานให้กับโลกของอินเทอร์เน็ต
อุปกรณ์ทุกชนิดที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตจะต้องมีเลขนี้ เพื่อให้เครื่องคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายรู้จักกัน โดย IP จะระบุว่า เครือข่ายต่าง ๆ ควรเชื่อมโยงกันอย่างไร
เมื่อโลกอินเทอร์เน็ตถูกปูรากฐาน ต่อมาในยุค 1980s ก็เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญของการพัฒนาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลให้ทรงประสิทธิภาพมากขึ้น
Doug Engelbart นักวิจัยจากสถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด ได้มาทำงานให้ PARC และได้พัฒนาระบบส่วนต่อประสานกราฟิกกับผู้ใช้ หรือ Graphic User Interface (GUI)
จากคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ ที่ใช้งานยากและต้องใช้งานผ่านตัวอักษร
ระบบ GUI ได้เข้ามาช่วยเปลี่ยนการใช้งานให้ง่ายขึ้นผ่านทางสัญลักษณ์หรือภาพ เช่น ไอคอน หน้าต่างการใช้งาน เมนู ปุ่มเลือก รวมถึงการพัฒนา “ตัวชี้ตำแหน่ง X-Y” ซึ่งต่อมาก็คือ “เมาส์”
ทั้งระบบ GUI และเมาส์นี่เอง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้ Steve Jobs นำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาและเกิดเป็น “Macintosh” ในปี 1984 ซึ่งถือเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรก ๆ ที่มีการออกแบบอย่างเข้าใจผู้ใช้งาน
ในเวลานี้ คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
ครัวเรือนชาวอเมริกันที่ครอบครองคอมพิวเตอร์เพิ่มจากร้อยละ 5 ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s
มาเป็นร้อยละ 20 ในปี 1989
โลกอินเทอร์เน็ตถูกเชื่อมโยงเข้ากับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเปิดทางให้เกิดการพัฒนา World Wide Web ในช่วงปี 1989 ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเมื่อ นักวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิจัย CERN ในสวิตเซอร์แลนด์ ต้องการส่งข้อมูลให้กับเพื่อนนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
World Wide Web, WWW คือ ระบบการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต จากแหล่งข้อมูลหนึ่ง ไปยังแหล่งข้อมูลที่อยู่ห่างไกลทั่วโลก ให้มีความง่ายต่อการใช้งานมากที่สุด
โดยผ่านซอฟต์แวร์ที่เรียกว่า “เบราว์เซอร์”
แล้ว “สาธารณชน” ในยุค 1990s ก็เข้าถึงโลกอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก!
สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีผู้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตสัดส่วนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ในปี 1996 มีชาวอเมริกันเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงถึงร้อยละ 16
ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปตะวันตกยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไม่ถึงร้อยละ 5
การเกิดขึ้นของ World Wide Web ทำให้ย่านซิลิคอนแวลลีย์เริ่มคึกคักไปด้วยบริษัทที่มีโมเดลทำรายได้ผ่านอินเทอร์เน็ต ที่ถูกมองว่าเป็นนวัตกรรมแห่งอนาคต ขึ้นมามากมาย
และสิ่งสำคัญที่สุด ที่มีมาตั้งแต่การก่อตั้งบริษัทไอทีในยุค 1950s คือ ธุรกิจเงินร่วมลงทุน หรือ Venture Capital ดึงดูดให้บริษัทสตาร์ตอัปมากมาย หลั่งไหลเข้ามาใช้ประโยชน์จากข้อได้เปรียบเหล่านี้
นักศึกษาปริญญาเอกสาขาคอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 2 คน
คือ Larry Page และ Sergey Brin ได้ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ Search Engine
โดยใช้การทำงานของ Robot ที่ชื่อว่า Spider ซึ่งเป็นตัวสำรวจข้อมูล เมื่อพบข้อมูลที่ต้องการก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง
ปี 1998 ทั้ง 2 คน ได้ตั้งบริษัทที่ชื่อว่า “Google” ในเมืองเมนโลพาร์ก และ IPO เข้าสู่ตลาดหุ้นในอีก 5 ปีถัดมา
แล้วก็ไม่ต่างอะไรกับบริษัท Apple เพราะอีก 20 ปีต่อมา บริษัท Google ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Alphabet ก็ได้กลายมาเป็น บริษัทที่มีมูลค่าเป็นอันดับ 5 ของโลก..
แม้ความรุ่งเรืองจากการเกิดขึ้นของอินเทอร์เน็ต จะพาซิลิคอนแวลลีย์เข้าสู่การเติบโตที่รวดเร็วเกินไปจนเกิดวิกฤติฟองสบู่ดอตคอมในช่วงก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 จนสร้างความเสียหายหลายบริษัทและนักลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก
แต่อย่างไรก็ตาม วิกฤติครั้งนั้น ก็ไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี ณ หุบเขาแห่งนี้ได้
หลังจากวิกฤติไม่นาน ก็มีการพัฒนาระบบ IPv6 ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลน IP ช่วยให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้มากขึ้น นอกเหนือจากเครื่องคอมพิวเตอร์
ซึ่งปูทางมาถึงการเกิดขึ้นของ “สมาร์ตโฟน” โทรศัพท์มือถือที่มีความสามารถในการใช้งานมัลติมีเดีย และเชื่อมต่อเข้ากับโลกอินเทอร์เน็ตอย่างไร้รอยต่อ ด้วยระบบ IPv6
หนึ่งในสมาร์ตโฟนที่โดดเด่นที่สุดก็คือ iPhone จากบริษัท Apple ที่เปิดตัวในปี 2007
เช่นเดียวกับ Google ที่ได้เข้าซื้อบริษัท Android และเปิดตัวโทรศัพท์แอนดรอยด์ในปี 2008
และทั้งสองก็แข่งขันกันพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเอง
เมื่อผู้คนเริ่มใช้สมาร์ตโฟนมากขึ้น นำมาสู่การเกิดขึ้นของ “Application” ซอฟต์แวร์ที่ใช้เพื่อช่วยการทำงานต่าง ๆ ของผู้ใช้งาน
โดยแอปพลิเคชัน จะมีส่วนที่ติดต่อกับผู้ใช้ (User Interface) หรือ UI เพื่อเป็นตัวกลางในการใช้งานให้ราบรื่น
และด้วยความที่ซิลิคอนแวลลีย์เต็มไปด้วย Venture Capital ที่คอยให้เงินทุนสนับสนุนไอเดียล้ำ ๆ
หุบเขาแห่งนี้ จึงยังคงเป็นแม่เหล็กดึงดูดบริษัทใหม่มากมาย โดยเฉพาะบริษัทที่จะมาสร้างสรรค์เครือข่ายสังคมออนไลน์..
ปี 2003 LinkedIn เกิดแพลตฟอร์มเครือข่ายธุรกิจในการหางานและผู้ร่วมงาน
ก่อตั้งโดย Reid Garrett Hoffman วิศวกรที่เคยทำงานให้กับ Apple
ปี 2004 เกิด Facebook เครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก
ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการคิดค้นวิธีการเชื่อมผู้คนในรูปแบบใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ของ Mark Zuckerberg พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน
ปี 2006 หลังออกจากมหาวิทยาลัย Jack Dorsey พร้อมกับเพื่อนอีก 3 คน
ได้ก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์ประเภท Microblog ที่แสดงข้อความสั้น ๆ ความยาวไม่เกิน 140 ตัวอักษร
โดยคิดค้นชื่อที่มาจากคำว่า Tweet ซึ่งแปลว่าเสียงนกร้อง Logo ของบริษัทจึงเป็นรูปนก และบริษัทนี้มีชื่อว่า Twitter
ปี 2009 เกิด WhatsApp แอปพลิเคชันในการติดต่อสื่อสารด้วยข้อความ ก่อตั้งโดย Jan Koum โปรแกรมเมอร์ที่เห็นประโยชน์จากการเกิดขึ้นของสมาร์ตโฟน
บริษัททั้งหมดล้วนมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในซิลิคอนแวลลีย์
หุบเขาแห่งเทคโนโลยีแห่งนี้ยังคงดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกให้เข้าไปเติมเต็มความฝัน เพื่อสร้างสรรค์อุปกรณ์ไอทีที่ไฮเทคขึ้นเรื่อย ๆ
และเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกของเครือข่ายอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตและเชื่อมต่อกันและกัน หรือเรียกว่า “Internet of Things” ที่จะเข้ามามีบทบาทในทุกย่างก้าวของชีวิต
ความสำเร็จของอุตสาหกรรมไอทีที่ทำให้สหรัฐอเมริกากลายเป็นมหาอำนาจของโลก ล้วนมีที่มาจากหลายปัจจัย
ทั้งระบบการศึกษาที่เข้มแข็ง ที่สร้างองค์ความรู้และช่วยวางรากฐานสู่โลกธุรกิจ
วัฒนธรรมแห่งเสรีภาพ ที่สนับสนุนให้คนรุ่นใหม่กล้าคิดกล้าทำเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ
แหล่งเงินทุน ที่เข้าถึงง่ายและมีหลากหลายรูปแบบ
และเครือข่ายผู้คิดค้นนวัตกรรมที่เติมเต็มความฝันต่อยอดกันไปไม่รู้จบ
หากถามว่า อิทธิพลทางเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกาจะคงอยู่อีกนานแค่ไหน ?
เมื่อไรที่มนุษย์จะหยุดฝัน เมื่อนั้นอาจเป็นคำตอบ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-มิเชลล์ ควินน์, เมื่อซิลิคอนแวลลีย์เติบใหญ่ นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2562
-https://www.parc.com/about-parc/parc-history/
-https://www.internetsociety.org/wp-content/uploads/2017/09/ISOC-History-of-the-Internet_1997.pdf
-https://searchnetworking.techtarget.com/definition/TCP-IP
-https://www.lifewire.com/transmission-control-protocol-and-internet-protocol-816255
-https://tradingeconomics.com/united-states/personal-computers-per-100-people-wb-data.html
-https://www.businessinsider.com.au/highest-valued-public-companies-apple-aramco-biggest-market-cap-2020-1
-https://www.forbes.com/profile/reid-hoffman/#5f276ca61849
-http://startitup.in.th/the-rags-to-rich-jan-koum-whatsapp-co-founder-startup-story/
-https://www.set.or.th/set/enterprise/html.do?name=vc
pdf search engine 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
สหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีผู้อพยพเข้าไป มากที่สุดในโลก /โดย ลงทุนแมน
ทุก 1 ใน 4 ของประชากรผู้อพยพจากทั่วโลก มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
จนทำให้กลายเป็นประเทศที่มีผู้อพยพมากที่สุดในโลก..
ปี 2019 จำนวนผู้อพยพที่เข้ามาอาศัยในสหรัฐอเมริกาและยังมีชีวิตอยู่ มีจำนวน 51 ล้านคน
หรือประมาณ 15% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของประเทศ
ทำไมสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้อพยพเข้ามาอาศัยจำนวนมาก
แล้วสหรัฐอเมริกาได้ประโยชน์อะไรจากการมีผู้อพยพเข้ามาในประเทศ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ถ้าถามว่า จุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์การอพยพของมนุษยชาติเกิดขึ้นมาเมื่อไร ?
คำตอบคือ เกิดขึ้นในช่วงประมาณ 70,000-100,000 ปีที่แล้ว เมื่อมนุษย์โฮโมเซเปียนส์เริ่มออกเดินทางจากทวีปแอฟริกา ไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง ก่อนจะค่อย ๆ แยกย้ายไปยังยุโรป เอเชีย อเมริกา และออสเตรเลียในที่สุด
ซึ่งการอพยพของมนุษย์ในยุคนั้นก็เพื่อหลีกหนีจากสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เป็นภัยต่อการใช้ชีวิตและดำรงเผ่าพันธุ์ของตนเองไว้
แม้ว่าเวลาจะผ่านมาเป็นหมื่นเป็นแสนปี แต่ทุกวันนี้การอพยพก็ยังเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ยังคงอยู่กับมนุษยชาติ ปัจจุบันทั่วโลกมีประชากรที่อพยพรวมกันกว่า 272 ล้านคน หรือประมาณ 3% ของจำนวนประชากรโลกทั้งหมดไม่ได้อาศัยอยู่ในประเทศบ้านเกิด
ซึ่งการอพยพนั้น อาจเกิดมาจากความเต็มใจหรือถูกสถานการณ์บังคับ ทำให้คนที่อาศัยอยู่ในประเทศนั้น ต้องการอพยพเพื่อย้ายไปอยู่ในประเทศอื่นที่พวกเขาเชื่อว่า จะทำให้ชีวิตตนเองนั้นดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
ปี 2019 ประเทศที่มีจำนวนผู้อพยพที่เข้ามาอาศัยในประเทศมากที่สุด 3 อันดับแรกของโลก คือ
1. สหรัฐอเมริกา 51 ล้านคน
2. เยอรมนี 13 ล้านคน
3. ซาอุดีอาระเบีย 13 ล้านคน
สำหรับสหรัฐอเมริกา..
ประเทศแห่งนี้สร้างขึ้นมาจากการต่อสู้กับการกดขี่ข่มเหงของเจ้าอาณานิคม
ในวันที่ประกาศอิสรภาพจากอังกฤษ สิ่งที่อยู่ในคำประกาศอิสรภาพ
คือการปกป้องสิทธิในการใช้ชีวิต เสรีภาพ และการแสวงหาความสุข
ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นหลักความเชื่อที่สำคัญที่สุดสำหรับชาวอเมริกันทุกคน
ชาวอเมริกันจึงให้ความสำคัญกับเสรีภาพทางการคิด การพูด และการแสดงออกเป็นอย่างมาก ความคิดเห็นอะไรก็ตามที่อยู่ในขอบเขตของกฎหมาย ล้วนมีความเป็นไปได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
สิ่งเหล่านี้เองที่เป็นแรงดึงดูดให้นักคิด นักประดิษฐ์ นักผจญภัยจากทั่วโลก เข้ามาตั้งถิ่นฐาน และเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อนให้สหรัฐอเมริกาก้าวขึ้นมาจนเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองอันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน
ตัวอย่างของผู้อพยพจากทั่วโลกที่เข้ามาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมอเมริกัน
ไม่ว่าจะเป็น..
ตระกูล Rockefeller ตระกูลนักธุรกิจชื่อดัง อพยพจากเยอรมนีเข้ามาสหรัฐอเมริกาช่วงต้นศตวรรษที่ 17 โดย John D. Rockefeller เป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Standard Oil บริษัทน้ำมันที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
Nikola Tesla นักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ และวิศวกรชาวเซิร์บ อพยพเข้ามาสหรัฐอเมริกาในปี 1884 ผู้พัฒนาระบบไฟฟ้ากระแสสลับ ผู้คิดค้นหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์และรีโมตคอนโทรล
Albert Einstein นักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันเชื้อสายยิว อพยพเข้ามาสหรัฐอเมริกาในปี 1933 เขาเป็นคนนำเสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติของแรงโน้มถ่วง
Sergey Brin ผู้อพยพชาวรัสเซีย อพยพเข้ามาสหรัฐอเมริกาในปี 1979 เขาเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Google ซึ่งเป็น Search Engine อันดับ 1 ของโลกในปัจจุบัน
Jandali ผู้อพยพชาวซีเรีย ที่เข้ามาตั้งรกรากในสหรัฐอเมริกา บิดาของ Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple บริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ณ วันนี้
สหรัฐอเมริกาคือดินแดนที่ทำให้พวกเขาเหล่านี้มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิต
รวมทั้งเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น ผู้อพยพหลายคนถึงกับตั้งฉายาให้กับประเทศแห่งนี้ว่า “Land of Opportunity”
เราลองมาดูว่า 50 ปีที่ผ่านมา มีผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกามากแค่ไหน ?
ปี 1970 จำนวนผู้อพยพ 12 ล้านคน เป็นสัดส่วน 5% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
ปี 2019 จำนวนผู้อพยพ 51 ล้านคน เป็นสัดส่วน 15% ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ
ปัจจุบัน โดยเฉลี่ยแล้วในแต่ละปีจะมีผู้อพยพเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาปีละไม่ต่ำกว่า 1 ล้านคน ขณะที่ในปี 2019 นั้น 3 ประเทศที่มีผู้อพยพเข้ามายังสหรัฐอเมริกามากที่สุดคือ เม็กซิโก จีน และอินเดีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 26% ของจำนวนผู้อพยพเข้าไปยังสหรัฐอเมริกาทั้งหมด
ทีนี้มาดูว่า แล้วทำไมในแง่ของสหรัฐอเมริกา จึงยังต้องการให้มีผู้อพยพเดินทางเข้าไปเรื่อย ๆ
เรื่องแรก เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การมีแรงงานอพยพที่มากจะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจนั้นเติบโตทั้งในแง่ของการผลิตและการบริโภค โดยเฉพาะการบริโภคนั้นถือว่ามีความสำคัญเนื่องจากมีสัดส่วนสูงถึง 70% ของ GDP สหรัฐอเมริกา
ในปี 2019 แรงงานในสหรัฐอเมริกา ที่เป็นผู้อพยพมีจำนวนเท่ากับ 28 ล้านคน หรือประมาณ 15% ของจำนวนแรงงานทั้งหมดของประเทศ
แรงงานอพยพ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้หลายธุรกิจในสหรัฐอเมริกานั้นเติบโต ไม่ว่าจะเป็น
แรงงานที่ใช้ทักษะทั่วไปในภาคเกษตรกรรม ภาคบริการ รวมทั้งงานที่คนอเมริกันไม่ต้องการทำ
แรงงานที่ใช้ทักษะขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมเมอร์ วิศวกร ซึ่งแรงงานเหล่านี้ ถือเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยทำให้สหรัฐอเมริกาคงความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลกได้ในอนาคต
ที่ลืมไม่ได้เลยคือ แรงงานที่เป็นผู้อพยพนั้น ถือเป็นแหล่งรายได้จากการเก็บภาษีที่สำคัญของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ข้อมูลสรรพากรของสหรัฐอเมริการะบุว่า ในปี 2017 แรงงานอพยพในสหรัฐอเมริกาจ่ายเงินภาษีรวมกันกว่า 13 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นขนาดที่เกือบเท่า GDP ของประเทศไทยทั้งประเทศเลยทีเดียว
ซึ่งเงินภาษีเหล่านี้ ถือเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับกองทุนประกันสังคมและกองทุนที่ใช้ในโครงการประกันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
การย้ายถิ่นฐานของแรงงานอพยพ ยังช่วยชดเชยการลดลงของกำลังแรงงานของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากคนอเมริกันในยุค Baby Boomer หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทยอยเข้าสู่วัยเกษียณไปเรื่อย ๆ
ขณะที่ในปี 2020 บริษัทชั้นนำ 500 อันดับของสหรัฐอเมริกา หรือฟอร์จูน 500 นั้น เป็นบริษัทที่ก่อตั้งโดยกลุ่มผู้อพยพ มีสัดส่วนถึง 44%..
เรียกได้ว่า ผู้อพยพกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมอเมริกันไปแล้ว
พวกเขาไม่เพียงแต่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจของประเทศ
แต่ยังทำให้เกิดความหลากหลายทางด้านสังคมและวัฒนธรรมอีกด้วย
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศพัฒนาแล้วไม่กี่ประเทศ ที่ถูกคาดว่าจะมีประชากรเพิ่มขึ้นในปี 2050 ซึ่งจะเพิ่มขึ้นราว 50 ล้านคน จากประชากร 330 ล้านคนในปี 2020
โดยสาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นก็มาจากผู้อพยพนั่นเอง
เรื่องนี้ตรงกันข้ามกับประเทศที่พัฒนาแล้วหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ หรือประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป ที่ประชากรมีแนวโน้มที่จะลดลงในอนาคต
จีน ที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญของสหรัฐอเมริกาก็พบกับปัญหาที่ประชากรมีแนวโน้มที่จะชะลอตัวเช่นกัน เพราะจีนไม่ได้เป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติซึ่งไม่สามารถดึงดูดผู้อพยพได้เท่าไรนัก
หรือแม้แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยเอง ที่มีผู้อพยพจากประเทศใกล้เคียงอยู่จำนวนหนึ่ง ก็ยังเจอปัญหาประชากรที่มีแนวโน้มลดลงในอนาคตเช่นกัน
การอพยพของมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานตั้งแต่ยุคโบราณ จนมาถึงวันนี้และน่าจะมีต่อไปในอนาคต
แต่การที่มนุษย์จะอพยพไปที่ไหนนั้น
ก็คงตอบได้ว่า เป็นสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีโอกาสรอบด้านที่จะทำให้ตัวเขา รวมไปถึงลูกหลานของเขาอยู่รอดปลอดภัย และอยู่ดีกินดี นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.migrationpolicy.org/article/frequently-requested-statistics-immigrants-and-immigration-united-states-2020#:~:text=How%20many%20immigrants%20reside%20in,of%204.7%20percent%20in%201970.
-https://www.un.org/sites/un2.un.org/files/wmr_2020.pdf
-https://mullin.house.gov/news/documentsingle.aspx?DocumentID=612#:~:text=Since%20its%20beginning%2C%20America%20has,own%3A%20an%20opportunity%20to%20succeed.
-https://www.khanacademy.org/humanities/world-history/world-history-beginnings/origin-humans-early-societies/a/where-did-humans-come-from#:~:text=Between%2070%2C000%20and%20100%2C000%20years,35%2C000%20and%2065%2C000%20years%20ago.
-https://www.sapiens.org/biology/early-human-migration/#:~:text=from%20SAPIENS&text=In%20a%20study%20published%20today,just%20over%20100%2C000%20years%20ago.
-https://www.bls.gov/opub/ted/2020/foreign-born-workers-made-up-17-point-4-percent-of-labor-force-in-2019.htm
-https://www.sandiegouniontribune.com/business/economy/story/2020-02-28/does-the-u-s-need-more-legal-immigration
- https://americasvoice.org/blog/immigration-101-immigrant-taxes/
-https://www.thebalance.com/components-of-gdp-explanation-formula-and-chart-3306015
-https://data.newamericaneconomy.org/en/fortune500-2020/#exploratory_tool
-https://citizenpath.com/countries-with-the-most-immigrants/
-https://www.populationpyramid.net/united-states-of-america/2050/
pdf search engine 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
Alphabet บริษัทมูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ รายล่าสุด /โดย ลงทุนแมน
“$1 Trillion club” คือคำจำกัดความล่าสุดที่ถูกมอบให้กับ Alphabet บริษัทแม่ของ Google ที่ตอนนี้มีมูลค่ากิจการเกิน 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 30 ล้านล้านบาท
Alphabet ทำธุรกิจอะไร
ทำไมกิจการจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
————
Blockdit แอปติดตามข่าวอันดับ 1 สำหรับคนไทย
Blockdit.com/download
————
Alphabet ก่อตั้งโดย Larry Page และ Sergey Brin ในปี 2015 เพื่อเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ซึ่งประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น และมีรายได้หลักอยู่ในรูปเงินปันผล โดยบริษัทที่ Alphabet ไปถือหุ้นเป็นหลัก ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีก็คือ บริษัท Google นั่นเอง
โดย Larry Page และ Sergey Brin รู้จักกันมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาเอกสาขาคอมพิวเตอร์ด้วยกันที่มหาวิทยาลัย Stanford
ทั้งคู่ร่วมกันพัฒนาโปรแกรมสำหรับใช้ค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตในรูปแบบของ Search Engine ซึ่งต่อมาได้ถูกพัฒนาจนมีชื่อว่า Google ในปี 1997
รูปแบบการทำงานของ Google นั้นใช้การทำงานของ Robot ที่ชื่อว่า Spider ซึ่งเป็นตัวสำรวจข้อมูล เมื่อพบข้อมูลที่ต้องการก็จะส่งข้อมูลไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทาง
Google เติบโตอย่างรวดเร็ว ทุกวันนี้มีการใช้ Google ค้นหาข้อมูล 3,500 ล้านครั้งต่อวัน กว่า 150 ภาษาใน 190 ประเทศทั่วโลก ที่น่าสนใจคือ Google ยังมีส่วนแบ่งกว่า 90% ของตลาด Search Engine ทั่วโลก เรียกได้ว่าแทบจะเป็นผู้นำแบบเบ็ดเสร็จในตลาดนี้
ปี 2015 Google มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่ ด้วยการตั้งบริษัท Alphabet ขึ้นมาเป็นบริษัทโฮลดิ้ง ผ่านการถือหุ้นในบริษัทอื่น ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึง Google ด้วย
ปัจจุบัน Larry Page และ Sergey Brin เป็นผู้บริหารในบริษัท Alphabet
ส่วน CEO ของ Google นั้น ปัจจุบันคือ Sundar Pichai
แล้วหุ้น Google เดิม มีความสัมพันธ์กับ Alphabet อย่างไร?
สำหรับหุ้นของ Google เดิมได้ถูกแปลงเป็นหุ้นของ Alphabet โดยอัตโนมัติ แต่ตัวย่อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ก็ยังใช้ GOOG และ GOOGL ซึ่ง 2 ตัวย่อนี้จะต่างกันที่สิทธิ์ในการโหวต หุ้น GOOG จะมีสิทธิ์ในกำไรแต่ไม่มีสิทธิ์ในการโหวต
นอกเหนือจากการถือหุ้นใน Google แล้วนั้น Alphabet ยังถือหุ้นผ่านบริษัทลูกอีกหลายแห่ง เช่น
Calico บริษัทที่ลงทุนในเรื่องสุขภาพของมนุษย์และเทคโนโลยีชีวภาพ
Google Nest บริษัทผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
Google Fiber บริษัทที่ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ต
CapitalG บริษัทที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีที่กำลังเติบโต
รายได้และกำไรของ Alphabet
ปี 2017 รายได้ 3.3 ล้านล้านบาท กำไร 380,000 ล้านบาท
ปี 2018 รายได้ 4.1 ล้านล้านบาท กำไร 922,200 ล้านบาท
9 เดือนปี 2019 รายได้ 3.5 ล้านล้านบาท กำไร 720,000 ล้านบาท
โดยทุกๆ รายได้ 100 บาท ของ Alphabet นั้นมาจาก
สหรัฐอเมริกา 46 บาท
ยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกา 32 บาท
เอเชียแปซิฟิก 17 บาท
และอื่นๆ 5 บาท
รายได้หลักของ Alphabet นั้นกว่า 83% มาจากรายได้ค่าโฆษณาของ Google
ที่น่าสนใจคือ ปัจจุบัน บริษัทในโลกที่มีมูลค่ากิจการเกิน 30 ล้านล้านบาท มีเพียง 4 บริษัท
1. Saudi Aramco บริษัทพลังงานแห่งชาติของซาอุดีอาระเบีย มีมูลค่ากิจการกว่า 54 ล้านล้านบาท
2. Apple บริษัทขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำของโลก มีมูลค่ากิจการกว่า 42 ล้านล้านบาท
3. Microsoft บริษัทผู้ผลิตและพัฒนาซอฟต์แวร์รายใหญ่ของโลก มีมูลค่ากิจการกว่า 38 ล้านล้านบาท
4. Alphabet บริษัทแม่ของ Google เจ้าของ Search Engine ระดับโลก มีมูลค่ากิจการกว่า 30 ล้านล้านบาท
เมื่อเรารวมมูลค่ากิจการของทั้ง 4 บริษัทนี้ จะมีมูลค่ากว่า 164 ล้านล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่า GDP ของญี่ปุ่นทั้งประเทศที่ 156 ล้านล้านบาท
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
Google เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ในปี 2004
โดยมีมูลค่ากิจการเท่ากับ 690,000 ล้านบาท
ซึ่งล่าสุดมูลค่ากิจการเพิ่มขึ้นจนมีมูลค่ากว่า 30 ล้านล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้นมา 43 เท่า
เรื่องนี้จึงทำให้พนักงานของ Google หลายคนที่บุกเบิกบริษัทร่วมกันมา
เปลี่ยนตนเองจากพนักงานธรรมดาในวันนั้น จนกลายมาเป็นเศรษฐีในวันนี้..
————
Blockdit แอปติดตามข่าวอันดับ 1 สำหรับคนไทย
Blockdit.com/download
————
References
-https://www.businessinsider.com.au/highest-valued-public-companies-apple-aramco-biggest-market-cap-2020-1
-https://finance.yahoo.com/quote/GOOGL/financials/
-https://www.forbes.com/sites/kramermichael/2019/12/25/alphabet-may-have-to-lower-costs-to-become-the-next-1-trillion-company/#61f531fa7196
-https://www.bloomberg.com/quote/GOOGL:US
-https://abc.xyz/investor/static/pdf/20191028_alphabet_10Q.pdf?cache=376def7
-https://www.oberlo.com/statistics/search-engine-market-share
pdf search engine 在 PDF Search Engine - Facebook 的必吃
PDF Search Engine · Page · Community · pdffilesearch.net · Wyldlife Verona · Tech News Gadget · عالم الطباخين · Glass Of China · Teknolosys. ... <看更多>