" 8 ปีชีวิตในมหาลัยธุรกิจบัณฑิตย์"
รศ.สิทธิกร (เรืองศักดิ์) ศักดิ์แสง
ผมเรียนจบ ม. 6 ที่โรงเรียนสวนศรีวิทยา อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เข้ามาเรียนต่อที่กรุงเทพฯมาอยู่ค่ายมวย ส.วรพิน (ค่ายเดียวกับ รัตนพล ส.วรพิน (โบ้) อดีตแชมป์โลก 105 ปอนด์และ 108 ปอนด์) ผมเลือกเรียนที่ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ด้วยเหตุผล คือ
1.มีนักกีฬาทีมชาติและเยาวชนทีมชาติไปเรียนที่นั่น
2. ลูกชายเจ้าของค่าย (พี่แน๊ต) สัมพันธ์ รังษีกุลพิพัฒน์ เรียนจบที่นั่น และชักชวนให้เรียนที่นั่น
ผมเข้าเรียนในฐานะนักกีฬาทุนมวยสากลสมัครเล่น เลือกเรียนคณะนิติศาสตร์ ในคณะนิติศาสตร์ มีนักกีฬาทุนแต่จะเป็นกีฬาอื่น เช่น นักฟุตบอลชุดดรีมทีม (กุ้ง) สุชิน พันธ์ประภาส รักบี้เยาวชนทีมชาติมาจากวชิราวุธ เช่น (บาส) สยาม หอมคง แต่นักกีฬาทีมชาติส่วนมากเรียน คณะบริหาร คณะนิเทศศาสตร์มี (จุ่น) อนุรักษ์ ศรีเกิด ในรั้วมหาลัยปีแรก ผมสมัครชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบทและชมรมมวยสากลสมัครเล่น 2 ชมรม ทำกิจกรรมกับมหาวิทยาลัยเป็นรองประธานชมรมมวยสากลสมัครเล่น
ในปีแรกก็เข้ามาก็ได้ไปร่วมกิจกรรมสัมนาผู้นำนักศึกษา ในฐานะตัวแทนชมรมมวยสากลฯ ได้พบเพื่อนๆพี่ๆที่ทำกิจกรรมในชมต่างๆของมหาลัย เกือบ 20 กว่าชมรม ทั้งชมรมวิชาการ ชมรมกีฬา ชมรมค่ายอาสาฯชมรมศิลปวัฒธรรม ชมรมดนตรี ทำให้สนิทกับพวกนักกิจกรรม ในเวลานั้น เช่น (เต้น) ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ทำให้ผมเพิ่มภาระ อีกงานหนึ่ง คือ งานกิจกรรมของมหาลัย นอกจากเรียน และซ้อมมวยทั้งนักมวยไทย และมวยสากลสมัครเล่น ซึ่งสากลสมัคร 1 ปี มีครั้ง แต่มวยไทยต้องต่อยเมื่อมีรายการ เดือนละครั้ง แต่ผมก็ทำได้สมบูรณ์ไม่ได้มีปัญหากับมัน การเรียนไม่มีปัญหา กีฬาก็ประสบความสำเร็จ
ซึ่งผมจะเล่าเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ในมหาลัยและการกิจกรรมในมหาลัย จากการทำกิจกรรมในมหาลัยนั้นทำให้ผมสนิทกับพี่ๆเพื่อนๆที่ทำกิจกรรม ขยายไปกับบุคคลต่างๆทั้งในมหาลัยและนอกมหาลัย โดยเฉพาะชมรมรักบี้และชมรมค่ายอาสาพัฒนาชนบท ผมอยู่ปี 2ในพวกพี่ๆนักกิจกรรมมหาลัย ก็ตั้งฉายาให้ผมว่า "เด็กเหี้ย" จากความเกเรของผม ทุกอย่างผมเอาหมด มีอย่างเดียวที่ไม่ยุ่งยาเสพติด กินเหล้า ชกต่อย เล่นการพนัน ทำหมดทุกอย่าง โดยเฉพาะชกต่อย ผมตัวเล็กมากๆ แต่ผมมีใจ มีพรรคพวกมีเพื่อน
ดังนั้นเวลามีปัญหากับใคร มีเพื่อนๆพี่ๆ เอาด้วย ฉายาเด็ก เด็กเหี้ยจึงได้มา และเวลานั้น ก็ได้ฉายาอีกฉายาหนึ่ง "คนเขี่ยบอล" คือ มีเรื่องอะไร ปัญหาอะไร ผมเป็นคนเปิดเกือบทุกครั้ง บางครั้งก็ได้เลือด
ผมอยู่ปี 2 แต่ยังชกมวยไทยอยู่ แต่ไม่ได้พักในค่ายมวยอยู่กับพี่ๆในชมรมมวยสากลฯ และในปี 3 ผมเลิกชกมวยไทย พี่ๆชมรมมวยสากลฯเรียนจบ ผมก็ไปอยู่กับ พี่เบริ์ด บาส นักกีฬารักบี้ ครอบครัวหอมคง โดยพักฟรีไม่ต้อเสียค่าที่พัก พี่เบริ์ดและพี่น้องรักบี้ใจดีมากๆ ทำให้ผมสนิทกับพี่เพื่อนๆ ให้กลุ่มรักบี้เป็นอย่างมากพี่เบริ์ด บาส พี่ฮ้อ พี่เหลิม พี่กิต พี่แก้ว เก็ต โจ้ และโดยเฉพาะพี่เลิศ สนิทมากๆ
ในปริญญาตรี ผมมีรายได้ จากการเล่นพนัน คือ การเปิดหนังสือคือ ประมวลกฎหมายจะมีการเสียบหน้า สูง 7 กับ 9 กลาง 5 ต่ำ 1 กับ 3 แต่วันผมจะมีรายได้จากพวกนี้ วันละ 200-300 จากเพื่อนในห้องเรียน นิติ ในฐานะเจ้ามือ บางครั้งก็เล่นไพ่อย่างอื่นกับพวกนักรักบี้
ดังนั้นผมอยู่มหาลัยในข่วงเรียนระดับป.ตรี ยังไม่โลดโผนสักเท่าไหร่ เพราะอยู่กับพวกรักบี้ เลยอยู่สบายเพราะพวกพี่ๆรักบี้ดูแลช่วยเหลือ ผมตลอดเวลา
จนผมจบปริญญาตรีก็เรียนต่อ ปริญญาโท ทางด้านกฎหมายมหาชน โดยได้รับทุนนักกีฬามวยสากลเช่นเดิม ในระดับปริญญาโท ผมต้องอยู่ด้วยตัวเอง เพราะพี่ๆรักบี้เรียนจบต่างแยกย้ายทำงาน ที่อยู่ที่พักเริ่มมีปัญหาเงินที่สะสมหมดและผมก็ได้ทุนเรียนต่อ ทีนี้ต้องริ้นรนสุด ๆ (เพราะผมไม่เคยขอเงินจากทางบ้าน) ต้องทำหมดทุกอย่างเพื่อให้เงินมาจุนเจือประทังชีวิตและหาเงินมาใช้จ่ายในการเรียนปริญญาโท
ทางด้านงานการเรียนผมหาเงินได้จากการถอดเทปคำบรรยาย ทำเป็นเอกสารแจกจ่ายพี่ในกลุ่มเรียนที่ช่วยเหลือของพี่ๆ ในรุ่นป.โท (ในรุ่นผมอายุน้อย สุด 21 ปี ในขณะนั้น ปี 2540 เพราะคนที่เรียนส่วนใหญ่คนทำงานทั้งนั้น เช่น ผู้กำกับ รองผู้กำกับ นักการเมืองระดับชาติ เช่น อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชา ประสพดี) นายธนาคาร เจ้าของบริษัท ผู้บริหารระดับสูงรัฐวิสาหกิจ) มีผมคนเดียวไม่ทำมีงานทำงาน มีเวลาว่างเยอะเลยให้ผมทำหน้าที่ทำรายงาน เวลาอัดเทปคำบรรยาย ผมก็ทำหน้าที่ถอดเทป พิมพ์คำบรรยาย จะทำให้ผมมีรายได้ แต่ละครั้งและแต่ละวิชาที่ลงเรียนจะมีรายได้แต่ละสัปดาห์ในรายวิชาแต่ละรายวิชา ในปีแรกก็ไม่มีปัญหาและมีรายได้จากเงินรางวัลที่ชกมวยสากลที่ได้เหรียญรางวัล (จากที่ผมทำนี้ได้ส่งผลดีกับผมต่อมา คือ ได้เขียนตำรา เขียนหนังสือได้และมีผลงานออกมาหลายเล่มด้วยกัน)
แต่พอในปีที่ 2 วิชาเรียนจะหมดไปหรือมีน้อย รายได้ผมก็จะไม่มี ผมต้องหาเงินทางอื่น ดิ้นรนความนักเลงเริ่มมีมากขึ้น โดยเฉพาะทำหน้าที่ทวงหนี้บอลให้กับโต๊ะบอลรุ่นพี่ในมหาลัย กับนักศึกษาในมหาลัย เวลานั้นทำให้ผมมีเพื่อนมากๆเกือบทุกกลุ่ม เข้ามหาลัยกลายเป็นศาลพระภูมิเคลื่อนที่ คือ ทุกคนไหว้ผม ในมหาลัยหรือบริเวณ แถวมหาลัยไม่รู้ จักชื่อผมเชย ทำให้ผมถูกตำรวจ สน.ทุ่งสองห้อง กับ สน.ประชาชื่น ขึ้นบัญชี นักเลง มีอิทธิพล ทึ่ผมรู้ก็ คือ ตอนเรียนป.โท มีพี่ๆเป็นตำรวจ เช่น ผู้กำกับ สน.ทุ่งสองห้อง ได้มาเตือนและบอกให้ทำตัวดีๆ และได้เจอกับ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ประชา ประสพดี เรียนรุ่นเดียวกันสาขาเดียวกัน ทำให้ผมอยู่ได้กับการที่พี่ช่วยเหลือเวลามีคดี ต่างๆส่วนมาก ทะเลาะวิวาท ข่มขู่
และที่สำคัญในชมรมค่ายอาสาผมก็ได้อยู่กับพี่ๆในชมรมค่ายอาสานักเลงขาใหญ่ในขณะนั้น พี่ก๋อย พี่ตั้ม พีโด้ พี่ดำ พี่รงค์ พี่มล และเพื่อนรัก เดชไอ้เบี้ยว หรือ ไอกบ (พันเอกกิตติพล ศักดิ์มณี) และผมรู้จักเป็นเซียนพระระดับประเทศ พี่นุ เพชรรัตน์ ตั้งแผงอยู่พันธ์ทิพย์ ที่มีเซียนพระระดับประเทศ เช่น พายัพ คำพันธ์ ป๋อง สุพรรณ ต้อย เมืองนนท์ ได้ไปนั่งคุยนั่งกินเหล้า และทำหน้าที่เสี่ยงกับชีวิต และต้องใช้ความซื่อสัตย์ คือ ทำหน้าที่ส่งพระเครื่องให้กับลูกค้า ซึ่งมันก็มีรายได้ดี แต่เสี่ยงเป็นอย่างมากเพราะพระเครื่ององค์หนึ่งเป็นหมื่น แสน ถึงล้าน
ทำให้ช่วงชีวิต ในป.โท ปี 40 ชีวิตผมโลดโผน เป็นอย่างมาก บางครั้งก็โดนตีน บางครั้งก็โดนตบด้วยสันปืน เพราะไปทวงหนี้ฟุตบอลก็เจอคนใหญ่ พวกท่านหลานเธอ หรือ บางถูกเอาคืนที่ไปตีเขา สน.ทุ่งสองห้อง กับ สน.ประชาชื่น นั้นจะเป็นที่พักผ่อนประจำของผม แต่ได้พี่ๆที่เป็นตำรวจและอาจารย์ที่คอยช่วยเหลือผม ทำให้ผมรอดมาได้เกือบทุกครั้ง
จากเหตุการณ์แบบ ทำให้ชื่อของผมดังกระจายไป และสิ่งหนึ่งที่ผมได้รับผลกระทบ คือ ความประพฤติ ทางมหาลัย เรียกเข้าไปคุย หลายๆครั้ง แต่ผมก็ทำชื่อเสียงให้กับมหาลัย คือ ได้เหรียญทอง เกือบทุกปี เป็นนักกีฬายอดเยี่ยมของการกีฬามหาลัยแห่งประเทศไทย
ในช่วงที่ผมประสบปัญหามากที่สุด คือ ตอนที่ผมวิทยานิพนธ์ ในตอนเรียนปริญญาโท ปีที่ 3 -4 ปี พ.ศ. 2543 ต้องหาค่าใช้จ่ายค่าวิทยานิพนธ์ เพราะปริญญาโทให้ทุนเรียน 3 ปี แต่วิทยานิพนธ์ยังไม่ได้ทำอีก 12 หน่วยกิต หน่วยกิตละ 3,000 ผมต้องดิ้นรนหาเงินจ่ายค่าวิทยานพนธ์ ชีวิตในเวลานั้นตีบตันรายได้ ก็ไม่มี ที่พักก็ไม่มีเงินจ่าย ตังค์กินข้าวก็ไม่มีกิน เข้าไปในมหาลัย ไปหาอาจารย์ธีระเดช เดชาติวงศ์ ณ อยุธยา อาจารย์จะให้ตังค์กินข้าว และให้เงินใช้อยู่เสมอและเป็นอยู่แบบนี้ แต่อย่างไรก็ตามค่าเทอมและค่าหน่วยกิต วิทยานิพนธ์ และค่าใช้จ่ายในการทำวิทยานิพนธ์ ก็ต้องหา เวลานั้นตีบตันมาก บางคืนผมเครียดนอนไม่หลับเดินไปเรื่อยๆไปหาเพื่อนหน้ารามเดินจากประชาชื่น ไปรามคำแหง โดยไม่รู้ว่าตัวเองไปถึงได้อย่างไร ชีวิตในเวลานั้นสับสนมาก มันตึงเครียดกับการเขียนวิทยานิพนธ์ ค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการลงพื้นที่ศึกษาตัวอย่างการจัดการป่าไม้ ที่อำเภอปัว จังหวัด เพื่อไปหา อาจารย์ประทีป อินแสง นักวิชาการอิสระที่กิจกรรมเกี่ยวกับมูลนิธิฮักเมืองน่าน รู้จักตอนมาเป็นวิทยากรที่ ม.ธุรกิจ และให้นามบัตรผมไว้ (จะเล่าเรื่องในการเดินทางไปทำวิทยานิพนธ์ต่อไป) กลับมาจากน่านเพื่อเค้าโครงวิทยานิพนธ์ ทางมหาลัยก็ให้ไปจ่ายค่าหน่วยกิตวิทยานิพนธ์และค่าบำรุง 6 หน่วยกิต (หน่วยกิตละ 3,000) บวกค่าบำรุงการศึกษา เทอมละ 12,000 การศึกษาไม่งั้นก็สอบเค้าโครงไม่ได้ แล้วตัวเองเอาเงินที่ไหนจ่าย มันมืดแปดด้านจริงๆ ในเวลานั้น ไหนเครียดเรื่องสอบเค้าโครงวิทยานิพนธ์ ด้วย ตังค์กินข้าว ค่าพักก็หาที่ไหน มันรุมสุมไปหมดคิดฆ่าตัวตายเลยในเวลานั้นเดินขึ้นตึกขึ้นไปดาดฟ้า โดดตึกตายให้มันพ้นๆ กับชีวิต คิดถึงครอบครัว แม่ พี่น้อง เดินลงมาจากตึกเจอท่านอาจารย์ ดร.พีระพันธุ์ พาลุสุข (คณบดีบัณฑิตวิทยาลัยในตอนนั้น) อาจารย์ถามว่าหัวข้อวิทยานิพนธ์ไปถึงไหนแล้ว เพราะอาจารย์เป็นประธานสอบหัวข้อวิทยานิพนธ์ผม ผมบอกกับอาจารย์ว่าไม่รู้จะได้สอบหรือเปล่าไม่มีเงินจ่ายค่าหน่วยกิตและคำบำรุงการศึกษา แม้กระทั่งกินข้าวเลย อาจารย์ท่านไม่พูดอะไรเรียกให้เข้าไปในห้องท่าน ท่านให้บัตร ATM ผมไปกดเงินมา 40,000 บาท ท่านบอกว่าเอาไปจ่ายค่าเทอมและที่เหลือเอาไปใช้จ่ายในการทำวิทยานิพนธ์ ผมรู้สึกว่าตัวเองโล่ง ปลอดโปร่งกับชีวิต ในเวลานั้น และต่อมาผมก็ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยอาจารย์และจบปริญญาโท ด้วยการเป็นหนี้อาจารย์ 120,000 บาท
สรุป ผมอยู่ในธุรกิจบัณฑิตย์ 8 ปีใน ป.ตรี ผมเรียน 3 ปี ครึ่ง ในป.โท เรียนคอสเวริ์ค ปี ครึ่ง ที่เหลือ 2 ครึ่งทำวิทยานิพนธ์
ในฐานะนักเรียนทุนกีฬา 4 ปี ป.ตรี กับ อีก 3 ปี ป.โท ทำผลงานให้กับมหาวิทยาลัย 5 เหรียญทอง 2 เหรียญทองแดง
และสิ่งที่ภูมิใจที่สุด คือ ได้เป็นศิษย์เก่าคณะนิติศาสตร์ ดีเด่น ของมหาวิทยาลัย ปี 2554 และสามารถใช้ชีวิตในรั้วมหาลัยโดยน้ำพักน้ำแรงของตนเองโดยไม่ขอเงินจากทางบ้าน
Search