อจ.หมอธีระวัฒน์ เหมะจุฑา พูดถึงการรับมือสายพันธุ์ใหม่ ทั้งสายพันธุ์อินเดีย และ สายพันธุ์แอฟริกาใต้ น่าสนใจครับ 🙏
1.เอาเข็มแรก กับ เข็ม 2 ให้รอดก่อน (ให้ได้ฉีดก่อน)
2.ถ้าได้เข็มแรกแล้ว
กรณีแรก ถ้าเข็มแรก เป็น ซิโนแวค และถ้าฉีดซิโนแวค เข็ม 2 แล้ว “เข็ม 3” ให้ใช้ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์น่า
กรณีที่สอง ถ้าเข็มแรก เป็น ซิโนแวค หรือ แอสตร้าเซนเนก้า ถ้ามี ไฟเซอร์ หรือโมเดอร์น่า ให้ใช้ ไฟเซอร์ หรือ โมเดอร์น่า เป็น “เข็ม 2” เลย จะดีที่สุด
“แต่…แต่ เราเลือกได้หรือไม่ เพราะวัคซีนจำนวนจำกัด แถมไม่มีไฟเซอร์ โมเดอนา และประเทศไทยมีทุกสายพันธุ์แล้ว และทั้งไฟเซอร์และโมเดอนา มีปรากฏการณ์ลิ่มเลือดเช่นกัน แบบ TTP thrombotic thrombocytopenic purpura”
😥😥😥
#ร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยโควิด #กรรมกรข่าว
หมอธีระวัฒน์ เผย สิ่งที่ต้องทำก่อนฉีดวัคซีนโควิดเข็มสาม และสลับยี่ห้อ
.
ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา หัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า สิ่งที่ต้องทำก่อนเข็มสามและสลับยี่ห้อ
1. เอาเข็มหนึ่งและสองให้รอดก่อน โดยซิโนแวค เข็มหนึ่งและสองห่างกันสองถึงสี่สัปดาห์ ไฟเซอร์ โมเดอนา ห่างกันสามถึงสี่สัปดาห์ แอสตราฯ ห่างกันไม่เกินแปดสัปดาห์
2. ถ้าได้เข็มที่สองไปแล้ว ถ้าได้ซิโนแวค เตรียมตัวเข็มที่สามได้เลย โดยถ้าฉีดแล้วสองเข็ม มีคนที่มีระดับภูมิในน้ำเหลืองที่ยับยั้งไวรัสตัวปกติได้ ต่ำกว่า 70% มีเป็นจำนวนพอสมควร และไม่น่าพอใจ และจะมีผลทำให้ลดประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อลดลงบ้าง และแน่นอนกับเดลต้า อินเดีย และเบต้าแอฟริกา จะลดลงมากมาย
ดังนั้นเข็มที่สามใช้ไฟเซอร์ โมเดอนาดีกว่า สายเบต้า ไฟเซอร์ 2 เข็ม (รายงานจากการ์ตาร์) กันติดได้ 72 ถึง 75% แต่กันอาการหนักและตายได้ดี สายเดลต้า ไฟเชอร์ (รายงานจากสกอตแลนด์และจากอังกฤษ) กันติดได้ตั้งแต่มากกว่า 79% ไปจนถึง 96% แต่กันอาการหนักและตายได้ดี แต่แน่นอนทั้งหมดนี้มีตายได้
วัคซีนโนแวค โปรตีน จากระบบแมลง รุ่นสอง ออกแบบสู้กับเบต้า (beta targeted vaccine) ได้ผลดีมาก อยู่ในการศึกษา วัคซีนต่อจากนี้ไปควรเป็นสู้กับหัวหน้าวายร้ายคือเบต้าเป็นสำคัญ
3. ถ้าได้เข็มหนึ่งเป็นชิโนแวคหรือแอสตราฯ และถ้ามี ไฟเซอร์ โมเดอนา ในมือ เข็มสองเป็นไฟเซอร์ โมเดอนาเลย น่าจะดีที่สุด แต่…แต่ เราเลือกได้หรือไม่เพราะวัคซีนจำนวนจำกัด แถมไม่มีไฟเซอร์ โมเดอนา และประเทศไทยมีทุกสายพันธุ์แล้ว และทั้งไฟเซอร์และโมเดอนา มีปรากฏการณ์ลิ่มเลือดเช่นกัน แบบ TTP thrombotic thrombocytopenic purpura
#เรื่องเล่าเช้านี้
「สายพันธุ์แอฟริกาใต้」的推薦目錄:
- 關於สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 Facebook 的最佳貼文
- 關於สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最讚貼文
- 關於สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 Facebook 的最讚貼文
- 關於สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 WHO จับตาโควิดสายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ | รอบโลกEXPRESS 的評價
- 關於สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 WHO สั่งจับตาโควิดสายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกา | 26 พ.ย. 64 - YouTube 的評價
- 關於สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 - ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ ... - Facebook 的評價
สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最讚貼文
ความคืบหน้าล่าสุด เรื่องวัคซีน ChulaVov19 ครับ ... วันนี้ วัคซีนชนิด mRNA ที่พัฒนาโดยนักวิจัยของจุฬาฯ ได้เริ่มนำมาทดสอบเฟสที่ 1 ในอาสาสมัคร ว่าสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้จริงหรือไม่เคยมนุษย์ แล้วครับ
--------
(รายงานข่าว)
วันที่ 14 มิถุนายน 2564 โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทดสอบการฉีดวัคซีนให้กับอาสาสมัครผู้ผ่านการคัดกรองที่มีสุขภาพดีระยะที่ 1 และต่อเนื่องในระยะที่ 2 เพื่อดูการตอบสนองของภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนChulaCov19 (จุ-ฬา-คอฟ-ไนน์-ทีน) ภายใต้การดูแลของทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ พยาบาล ทีมนักวิจัย ณ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่าจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ แพทย์ พยาบาล บุคลากร เทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัย มีมาตรฐาน นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองและรักษาประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้มีศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการวิจัยทางการแพทย์ที่ได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยทางการแพทย์ และนักวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกมาร่วมกันพัฒนา วิจัย ต่อยอด คิดค้น ผลิตวัคซีน เพื่อใช้ในการป้องกันโรคต่างๆ ให้กับประชาชน โดยล่าสุด การพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ในวันที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นวันแรกที่ทดสอบในอาสาสมัครในระยะที่ 1 และต่อเนื่องไปในระยะที่ 2 ภายใต้การควบคุมดูแลจากหลายภาคส่วนรวมถึงมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น และมั่นใจในความปลอดภัยสูงสุดของการทดสอบฉีดวัคซีน
อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณกระทรวงสาธารณสุข สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอีกหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน รวมถึงนักวิจัยทางการแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกที่ร่วมกันพัฒนาวิจัย ต่อยอดคิดค้นผลิตวัคซีน รวมถึงการพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ของศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนประสบความสำเร็จสามารถผลิตและพร้อมฉีดให้กับอาสาสมัคร นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง ที่จะนำมาใช้และสร้างคุณประโยชน์และชื่อเสียงให้แก่ประเทศไทยในระดับสากลอย่างแน่นอน
ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า การพัฒนาวัคซีน ChulaCov19 ได้รับการสนับสนุนจากทางภาครัฐ เอกชน และภาคประชาชน อาทิ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ, สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), ทุนศตวรรษที่สอง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเงินบริจาคจากสมาคมศิษย์เก่าแพทย์จุฬาฯ กองทุนบริจาควิจัยวัคซีน สภากาชาดไทย
วัคซีน ChulaCov19 เป็นการคิดค้นออกแบบและพัฒนาโดยคนไทยจากความร่วมมือสนับสนุนโดยแพทย์นักวิทยาศาสตร์ผู้คิดค้นเทคโนโลยีนี้ของโลกคือ Prof. Drew Weissman มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย วัคซีน ChulaCov19 ผลิตโดยสร้างชิ้นส่วนขนาดจิ๋วจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนา (โดยไม่มีการใช้ตัวเชื้อแต่อย่างใด) ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมขนาดจิ๋วนี้เข้าไป จะทำการสร้างเป็นโปรตีนที่เป็นส่วนปุ่มหนามของไวรัสขึ้น (spike protein) และกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันไว้เตรียมต่อสู้กับไวรัสเมื่อไปสัมผัสเชื้อ เมื่อวัคซีนชนิด mRNA ทำหน้าที่ให้ร่างกายสร้างโปรตีนเรียบร้อยแล้ว ภายในไม่กี่วัน mRNA นี้จะถูกสลายไปโดยไม่มีการสะสมในร่างกายแต่อย่างใด
ที่ผ่านมาทางศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการทดลองในลิง และหนู ได้ประสบผลสำเร็จ พบว่า สามารถช่วยยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง จึงนำมาสู่การผลิต และทดสอบทางคลินิกระยะที่ 1ให้กับอาสาสมัครในวันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน 2564 เป็นวันแรก โดยแบ่งการทดสอบได้ดังนี้
การทดสอบในระยะที่ 1 แบ่งออกเป็นสองกลุ่มอายุ จำนวน 72 คน
กลุ่มแรก เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 18-55 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน
กลุ่มที่สอง เป็นอาสาสมัครผู้ที่มีอายุ 65-75 ปี ทดสอบจำนวน 36 คน
ในจำนวนสองกลุ่มข้างต้นจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยที่ฉีดวัคซีน 10 ไมโครกรัม, 25 ไมโครกรัม และ 50 ไมโครกรัม เพื่อดูว่า วัคซีน ChulaCov19มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ปริมาณเท่าไร เพราะปัจจุบันโมเดอร์นาใช้วัคซีนปริมาณ 100 ไมโครกรัม ส่วนไฟเซอร์ใช้ 30 ไมโครกรัม ทางศูนย์ฯ ต้องศึกษาว่าคนไทยหรือเอเชียเหมาะกับการฉีด 10 หรือ 25 หรือ 50 ไมโครกรัม จะได้รู้ขนาดที่ปลอดภัยและกระตุ้นภูมิได้สูง หลังจากนั้นจึงเข้าสู่การทดสอบทางคลินิกระยะที่ 2
การทดสอบในระยะที่ 2 จำนวน 150-300 คน คาดว่าเริ่มต้นฉีดได้ประมาณเดือนสิงหาคม 2564 เป็นต้นไป
ศ.นพ.เกียรติ กล่าวเพิ่มเติมว่าการทดสอบวัคซีนนั้นเราคำนึงถึงความปลอดภัยสูงสุดของอาสาสมัคร ต้องใช้ระยะเวลาและทยอยฉีดตามลำดับ โดยใช้หลักการเหมือนกันทั่วประเทศ ถึงจะทราบข้อมูลจากผลการศึกษาว่าสามารถป้องกันการเจ็บป่วยหรือเสียชีวิตได้จริงหรือไม่ หากองค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) สามารถกำหนดหลักเกณฑ์ได้ว่า “วัคซีนที่มีประสิทธิภาพต้องกระตุ้นภูมิเท่าไร” ก็จะช่วยลดขั้นตอนได้ สมมุติว่า เกณฑ์วัคซีนโควิด-19 ที่ดีต้องสร้างภูมิคุ้มกันมากกว่า 80 IU (International Unit) ถ้าหาก วัคซีน ChulaCov19 สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้สูงกว่าค่านี้แสดงว่ามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ก็สามารถยกเว้นการทำทดสอบทางคลินิกระยะที่สามได้ วัคซีนนี้อาจได้รับอนุมัติให้ผลิตเพื่อใช้ในคนจำนวนมากได้ภายในก่อนกลางปีหน้า
สำหรับจุดเด่นของวัคซีน ChulaCov19
1. จากการทดสอบความทนต่ออุณหภูมิของวัคซีน พบว่าวัคซีน ChulaCov19 สามารถอยู่ในอุณหภูมิตู้เย็น (2-8 องศาเซลเซียส) ได้นานถึง 3 เดือน และเก็บในอุณหภูมิห้อง (25 องศาเซลเซียส) ได้นาน 2 สัปดาห์ ซึ่งทำให้การจัดเก็บรักษาง่ายกว่าวัคซีนโควิด-19 ชนิด mRNA ยี่ห้ออื่น เป็นอย่างมาก
2. ผลการทดสอบในสัตว์ผ่านเกณฑ์ดีมาก จากการทดลองในหนูทดลองชนิดพิเศษที่ออกแบบให้สามารถเกิดโรคโควิด-19 ได้ พบว่า เมื่อหนูได้รับการฉีดวัคซีน ChulaCov19 ครบ 2 เข็ม ห่างกัน 3 สัปดาห์ แล้วให้หนูทดลองได้รับเชื้อโควิด-19 เข้าทางจมูก สามารถป้องกันหนูทดลองไม่ให้ป่วยเป็นโรคและยับยั้งไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าสู่กระแสเลือด รวมทั้งสามารถลดจำนวนเชื้อในจมูกและในปอดลงไปอย่างน้อย 10,000,000 เท่า เมื่อทดสอบความเป็นพิษก็พบว่าปลอดภัยดี ส่วนหนูที่ไม่ได้รับวัคซีนจะเกิดอาการป่วยโควิด-19 ภายใน 3-5 วัน และทุกตัวมีเชื้อสูงในกระแสเลือด ในจมูก และปอด เป็นจำนวนมาก
3. วัคซีนชนิด mRNA สามารถผลิตได้เร็ว ไม่ต้องรอเพาะเลี้ยงเชื้ออย่างวัคซีนบางชนิด แต่วัคซีนชนิด mRNA เพียงรู้สายพันธุ์ของเชื้อก็ไปออกแบบวัคซีนได้ สังเคราะห์ในหลอดทดลอง ไม่เกิน 4 สัปดาห์มีวัคซีนมาทดสอบในหนูได้ การที่ผลิตได้รวดเร็วนี้ ทำให้ไม่ต้องใช้โรงงานขนาดใหญ่ นอกจากนี้ เมื่อเกิดเชื้อกลายพันธุ์ก็สามารถสังเคราะห์วัคซีนได้เร็วเช่นกัน
สุดท้ายนี้ ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการเตรียมความพร้อมพัฒนาทดลองวัคซีนรุ่นที่สองกับสัตว์ทดลองควบคู่กันไปกับรุ่นแรกข้างต้น เพื่อรองรับเชื้อดื้อยาหรือเชื้อกลายพันธุ์ที่ทั่วโลกกำลังวิตกกังวล อาทิ สายพันธุ์อังกฤษ สายพันธุ์อินเดีย สายพันธุ์แอฟริกาใต้ สายพันธุ์บราซิล ฯลฯ ทั้งหมดนี้นับเป็นวัคซีนที่คิดค้น พัฒนาและผลิตโดยคนไทย จากความร่วมมือของทุกภาคส่วนเป็นอย่างดี ถ้าทุกอย่างเป็นตามแผนคาดว่าจะสามารถผลิตวัคซีนที่ใช้ป้องกันเชื้อกลายพันธุ์ที่ดื้อวัคซีนได้เพื่อทดสอบในอาสาสมัครภายในไตรมาสสี่ของปีนี้ทางด้านอาสาสมัครของโครงการฯ กล่าวแสดงความรู้สึกว่า ได้รับทราบข่าวการรับสมัครอาสาฉีดวัคซีนผ่านช่องทางสื่อโซเชี่ยล เลยตัดสินใจสมัครเข้าร่วมโครงการ และวันนี้ก็เป็นวันแรกที่เข้ารับการทดสอบ ไม่รู้สึกตื่นเต้นแต่อย่างใด เพราะเนื่องจากได้รับคำแนะนำ และการต้อนรับจากทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่อีกหลายท่าน เป็นอย่างดี เลยรู้สึกมีความมั่นใจ เพราะอยากให้ประเทศไทยมีวัคซีนเป็นของตนเอง เชื่อมั่นในศักยภาพของแพทย์จุฬาฯ ที่สามารถคิดค้น และพัฒนาวัคซีน ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสำหรับคนไทยต่อไป ทั้งนี้ขอให้ประชาชนคนไทยเชื่อมั่นในศักยภาพของทีมแพทย์ไทย นับว่าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เรามีวัคซีนChulaCov19 ที่คิดค้นและพัฒนาโดยคนไทย
สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 Facebook 的最讚貼文
พบโควิดสายพันธ์อินเดีย หรือ “เดลต้า” 235 ราย กระจายไปใน 10 จังหวัดแล้วครับ
กทม. 206 คน,อุดรธานี 17 คนนนทบุรี,พิษณุโลก,สระบุรี,นครราชสีมา จังหวัดละ 2 คน ร้อยเอ็ด,อุบลราชธานี,สมุทรสงคราม,บุรีรัมย์ จังหวัดละ 1 คน
จำได้ว่า จากแคมป์ก่อสร้างเขตหลักสี่ สู่ชุมชนรอบแคมป์ มีคนงานกลับไปอุดร เผลอแป๊บเดียว เปิดอีกที ลามไปอีก 8 จังหวัดแล้ว นี่เฉพาะแค่สุ่มตรวจด้วย
รวดเร็วเกินจะทำใจ!
ขอให้ทุกท่านโชคดี ได้ฉีดวัคซีนอย่างที่ต้องการครับ🙏
#ร่วมแรงร่วมใจฝ่ามหันตภัยโควิด
อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ ระบุ หนึ่งในสายพันธุ์ที่กังวล คือ สายพันธุ์ Delta หรือสายพันธุ์อินเดีย จากการตรวจผู้ติดเชื้อจำนวน 3,964 คน ส่วนใหญ่พบสายพันธุ์ Alpha หรือ “สายพันธุ์อังกฤษ” แต่พบ 6% หรือ 235 คน เป็น “สายพันธุ์อินเดีย” ซึ่งแพร่กระจายเชื้อได้เร็วกว่า
ส่วนสายพันธุ์ Beta หรือ “สายพันธุ์แอฟริกาใต้” ตรวจพบแล้ว 26 คน ที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยควบคุมให้จำกัดอยู่ในพื้นที่นี้ เพราะเป็นสายพันธุ์ที่กังวล เนื่องจากดื้อต่อวัคซีน
สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 WHO สั่งจับตาโควิดสายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกา | 26 พ.ย. 64 - YouTube 的必吃
WHO กำลังจับตาไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์ ใหม่ที่พบใน แอฟริกาใต้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์แสดงความเป็นกังวลเพราะมันมีการกลาย พันธุ์ ที่โปรตีนหนามมากถึง 32 ... ... <看更多>
สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 ศูนย์ข้อมูล COVID-19 - ผศ.นพ.โอภาส พุทธเจริญ ... - Facebook 的必吃
และ 3. สายพันธุ์ P.1 หรือสายพันธุ์บราซิล คล้ายกับสายพันธุ์แอฟริกาใต้ สำหรับประเทศไทย การระบาดระลอกแรกพบว่า ไวรัสมีการเปลี่ย ... ... <看更多>
สายพันธุ์แอฟริกาใต้ 在 WHO จับตาโควิดสายพันธุ์ใหม่ในแอฟริกาใต้ | รอบโลกEXPRESS 的必吃
WHO กำลังจับตาไวรัสโควิด 19 สายพันธุ์ ใหม่ที่พบใน แอฟริกาใต้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์แสดงความเป็นกังวลเพราะมันมีการกลาย พันธุ์ ที่โปรตีนหนามมากถึง 32 ... ... <看更多>