[News] Tango Gameworks กำลังทำเกมใหม่โดยมีผู้กำกับ The Evil Within 2 เป็นผู้คุมบังเหียนในการพัฒนา
.
หรือว่าจะเป็น The Evil Within 3?
.
คุณ Shinji Mikami ผู้ก่อตั้ง Tango Gameworks ที่ในตอนนี้กำลังมีผลงานที่กำลังจะวางจำหน่ายอย่าง Ghostwire: Tokyo ได้เปิดเผยในอีเวนต์ไลฟ์สตรีมกับทาง Microsoft ในงาน Tokyo Game Show ว่าในตอนนี้พวกเขามีเกมใหม่อีกเกมที่กำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาแล้ว และเกมนั้นมีคุณ John Johanas ผู้กำกับ The Evil Within 2 เป็นผู้คุมบังเหียนการพัฒนาด้วย
.
ซึ่งคุณ Mikami ไม่ได้บอกใบ้หรือเปิดเผยเพิ่มเติมว่า เกมประเภทใดที่คุณ Johanas กำลังพัฒนาอยู่ แต่ด้วยการเข้าซื้อกิจการ Zenimax Media ของทาง Microsoft ไม่ว่ามันจะเป็นเกมอะไรก็ตาม แต่คุณ Johanas ก็กำลังพัฒนาเกมนี้ให้กับแพลตฟอร์ม Xbox โดยเฉพาะ
.
คุณ Johanas เข้าทำงานกับทาง Tango Gameworks ตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 2010 และรับหน้าที่เป็นนักออกแบบวิชวลเอฟเฟคให้กับเกมสยองขวัญเอาตัวรอด The Evil Within ภาคแรกในปี 2014 และขึ้นเป็นผู้กำกับใน DLC 2 ตัวของเกม
.
หลังจากนั้น เขาก็รับไม้ต่อมาจากคุณ Mikami ในการกำกับ The Evil Within 2 แม้ว่าจะต้องแบกรับทั้งความกดดันในการสร้างแฟรนไชส์นี้ต่อ และการรับหน้าที่คุมบังเหียนแทนนักสร้างเกมสยองขวัญเอาตัวรอดระดับตำนานอย่างคุณ Mikami แต่คุณ Johanas ก็ช่วยในการส่งมอบประสบการณ์การเล่นในภาคต่อที่ได้รับเสียงตอบรับไปในทางที่ดีมากๆ จากทั้งสื่อและผู้เล่นเมื่อเกมออกในปี 2017
.
ซึ่งคุณ Mikami เคยพูดถึงในบทสัมภาษณ์ในอดีตถึงเหตุผลที่เขาแตะมือให้คุณ Johanas มารับหน้าที่เป็นหัวหอกของ The Evil Within 2 แทน เพราะเขามองว่า Tango Gameworks ที่เขาสร้างขึ้น เป็นเหมือนที่ที่ใช้ฟูมฟักและให้โอกาสนักสร้างสรรค์รุ่นเยาว์ในการสยายปีกและประสบความสำเร็จ
.
ในขณะที่คุณ Phil Spencer หัวหอกของ Xbox ได้ถามคุณ Mikami เกี่ยวกับนักสร้างสรรค์ผลงานรุ่นเยาว์ในสตูดิโอนอกเหนือจากคุณ Johanas คุณ Mikami ได้กล่าวถึงคุณ Kenji Kimura ซึ่งเป็นผู้กำกับ GhostWire: Tokyo ว่าเป็นนักสร้างสรรค์ผลงานที่ทำงานอย่างหนักและทำอย่างดีที่สุดในฐานะผู้กำกับ และมีความสามารถมาก
.
ไม่ว่าเกมใหม่จากผู้กำกับ The Evil Within 2 จะเป็นเกมอะไร จะเป็น The Evil Within 3 หรือไม่ แต่ก็น่าจะต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการพัฒนา ในระหว่างนั้น Ghostwire: Tokyo ซึ่งเป็นเกมที่คุณ Kimura กำกับจะวางจำหน่ายบน PC และ PS5 ในปี 2022
.
https://www.cdkeys.com/the-evil-within-2-pc-steam?mw_aref=goodgamecheap
The Evil Within 2 กำลังลดราคาใน cdkeys เหลือ 239.49 บาท (Steam)
.
รายละเอียดเพิ่มเติมดูที่หน้าร้านค้า
https://www.cdkeys.com/the-evil-within-2-pc-steam?mw_aref=goodgamecheap
.
Source: https://www.ign.com/articles/tango-gameworks-new-game-after-ghostwire-tokyo
-------------------------------
🦈 PingBooster VPN ลดค่า Ping ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการ Lag ของเกม สมัครสมาชิกพร้อมโค้ด Sheapgamer ลด 15% => http://bit.ly/2wAh1Y5
-------------------------------
Potion Craft ลดราคาเหลือ 167 บาท (Steam) ดูที่นี่ - https://bit.ly/3F45anp
同時也有110部Youtube影片,追蹤數超過91萬的網紅Gladiuz KB,也在其Youtube影片中提到,เหตุการณ์ในปี2014ของการ์ตูนในนิตยสารโชเนนจัมป์ (เป็นไลฟ์วันเดียวกับปี2013นะครับ เลยเสียงแหบแห้งไปหน่อย ซึ่งประมาณการจากพลังงานตัวเองแล้วได้วันนึงไม่เก...
「ปี2014」的推薦目錄:
- 關於ปี2014 在 เกมถูกบอกด้วย v.2 Facebook 的精選貼文
- 關於ปี2014 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於ปี2014 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於ปี2014 在 Gladiuz KB Youtube 的精選貼文
- 關於ปี2014 在 CarDebuts Youtube 的最佳解答
- 關於ปี2014 在 ลงทุนแมน Youtube 的最佳解答
- 關於ปี2014 在 TOYOTA CAMRY HYBRID 2.5 HV DVD PREMIUM ปี 2014 ... 的評價
- 關於ปี2014 在 NEW MSX125 ปี 2014 - Facebook 的評價
ปี2014 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
Vine แพลตฟอร์มวิดีโอวนลูป ที่เคยมีผู้ใช้งาน 200 ล้านราย /โดย ลงทุนแมน
ในปัจจุบัน หากพูดถึงแพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้น คนส่วนใหญ่คงนึกถึงชื่อของ TikTok หรือ Instagram
แต่ย้อนไปเมื่อหลายปีก่อน มีแพลตฟอร์มชื่อว่า “Vine” ที่เคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง ที่ทำให้เกิดการแชร์คลิปไวรัลบนโลกโซเชียลมากมาย
รู้ไหมว่า Vine เคยดึงดูดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้สูงถึง 200 ล้านราย แต่สุดท้าย กลับต้องปิดตัวลงในแบบที่ไม่มีใครคาดคิด
มันเกิดอะไรขึ้นกับ Vine ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Vine เป็นแพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้น จากประเทศสหรัฐอเมริกา เริ่มเปิดให้บริการเมื่อปี 2013 หรือ 8 ปีที่แล้ว
ผู้ก่อตั้งธุรกิจนี้ คือ คุณ Dom Hofmann, คุณ Rus Yusupov และ คุณ Colin Kroll ซึ่งเคยทำงานอยู่ที่สตาร์ตอัปอีคอมเมิร์ซแห่งหนึ่งด้วยกัน
โดยคุณ Hofmann มีไอเดียที่จะสร้างโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับการสร้างสรรค์และรับชมคลิปวิดีโอ จึงชักชวนเพื่อนทั้งสองคน ออกมาตั้งบริษัทใหม่ร่วมกัน
ต่อมา พวกเขาก็เริ่มพัฒนาแพลตฟอร์ม Vine และตัดสินใจเลือกใช้คอนเทนต์หลักเป็น “คลิปวิดีโอสั้น 6 วินาที แบบวนลูป”
โดย Vine จะมีฟีเชอร์ให้ผู้ใช้งาน ถ่ายวิดีโอระยะเวลา 6 วินาที และตกแต่งลูกเล่นเพิ่มเติมได้ ซึ่งบนแพลตฟอร์มจะมีการแบ่งหมวดหมู่คลิป ตามประเภทคอนเทนต์และความนิยมในแต่ละช่วงเวลา
ในระหว่างที่พวกเขากำลังพัฒนาแพลตฟอร์มอยู่นั้น
ปรากฏว่า แนวคิดของ Vine ก็ไปเข้าตา “Twitter” ซึ่งมองว่าการเสพคลิปแบบกระชับฉับไว สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจของตน จึงตัดสินใจขอเข้าซื้อกิจการทันที ด้วยมูลค่าประมาณ 980 ล้านบาท
เมื่อมีบริษัทชื่อดังหนุนหลัง Vine จึงเปิดตัวสู่ตลาดด้วยความมั่นใจ และกลายเป็นแหล่งรวมคลิปสั้นที่คนนำไปแชร์กันมากมาย บนสังคมออนไลน์ต่าง ๆ
ด้วยเหตุนี้ ผู้ใช้งานประจำ (Active Users) ของ Vine จึงเติบโตเป็นเท่าตัว
ปี 2013 อยู่ที่ 40 ล้านบัญชี
ปี 2014 อยู่ที่ 100 ล้านบัญชี
ปี 2015 อยู่ที่ 200 ล้านบัญชี
ซึ่งถือเป็นจำนวนที่สูงมากสำหรับแพลตฟอร์มน้องใหม่ และยังใกล้เคียงกับบริษัทแม่อย่าง Twitter ที่ขณะนั้น มีผู้ใช้งานประมาณ 305 ล้านบัญชี อีกด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความคาดหวังถึงอนาคตอันสวยหรู
Vine กลับมีอายุแค่ราว 4 ปีเท่านั้น เพราะจู่ ๆ Twitter ได้ประกาศหยุดให้บริการแพลตฟอร์ม Vine อย่างกะทันหัน ในช่วงปลายปี 2016
อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ Vine ต้องปิดตัวลง ?
ถ้าถามว่า สิ่งสำคัญที่ส่งผลให้คลิปสั้นของ Vine น่าสนใจ คืออะไร
คำตอบ คงหนีไม่พ้น “ผู้ผลิตคอนเทนต์”
แต่ที่ผ่านมา Vine กลับไม่ได้สร้างแรงจูงใจกับกลุ่ม Influencers ให้ผลิตคอนเทนต์สนุก ๆ บนแพลตฟอร์มของพวกเขาต่อไปสักเท่าไร
โดย Vine ไม่มีการแบ่งสัดส่วนรายได้ เช่น ค่าโฆษณา ให้กับเจ้าของคลิป เหมือนกับแพลตฟอร์มอื่น ๆ เพราะตัวบริษัทเองยังไม่ได้คิดหาวิธีสร้างรายได้
นอกจากนั้น เวลา 6 วินาทีต่อคลิป กลายเป็นจุดอ่อน ที่ทำให้ผู้ใช้งานถูกจำกัดลูกเล่นในการสร้างสรรค์คลิปไปพอสมควร ซึ่งถึงแม้มีข้อเรียกร้องให้ขยายบริการรองรับวิดีโอที่ยาวขึ้น แต่ก็ต้องรอจนถึงปี 2016 กว่าที่ Vine จะปรับเพิ่มให้เป็นไม่เกิน 140 วินาทีต่อคลิป ซึ่งค่อนข้างช้าเกินไป
เมื่อทุ่มเทเวลาผลิตคลิปมากมาย แต่ไม่มีผลตอบแทน และฟีเชอร์เริ่มไม่ตอบโจทย์
จึงทำให้ Influencers เปลี่ยนไปลองใช้งานแพลตฟอร์มอื่นแทน ซึ่งส่งผลให้กลุ่มผู้ติดตาม ย้ายตามไปด้วย
ในขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มคู่แข่งในตลาด พอเห็น Vine ได้รับความนิยม ก็มีการพัฒนาฟีเชอร์คลิปวิดีโอสั้นขึ้นมาบ้าง
ยกตัวอย่างเช่น Instagram ซึ่งเดิมเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลเน้นแชร์รูปภาพ แต่ต่อมา ได้เพิ่มคอนเทนต์วิดีโอความยาวตั้งแต่ 15 วินาที จนถึง 10 นาที ทำให้สามารถออกแบบคลิปได้หลากหลายรูปแบบ
ซึ่งในภายหลัง Vine ก็ยอมรับว่า การที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Instagram ก้าวเข้าสู่ตลาดวิดีโอ ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ส่งผลกระทบให้จำนวนผู้ใช้งาน Vine ลดลงอย่างรวดเร็ว
รวมถึงการเปิดตัวของ TikTok ในปี 2016 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคลิปวิดีโอสั้น เช่นเดียวกับ Vine แต่รองรับความยาวเริ่มต้นที่ 15 วินาที และมีลูกเล่นแต่งคลิปที่น่าสนใจกว่า รวมทั้งมีอัลกอริทึมประสิทธิภาพสูง คอยแนะนำคลิปให้รับชมอีกด้วย
ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตคอนเทนต์ มีช่องทางสร้างรายได้จากค่าโฆษณา หรือค่าสปอนเซอร์สินค้า ได้มากกว่าบนแพลตฟอร์ม Vine
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การขายกิจการให้กับ Twitter เร็วเกินไป
เพราะการมีสถานะเป็นบริษัทในเครือ ทำให้บางครั้ง ทีมงานขาดอำนาจและความรวดเร็วในการตัดสินใจ ซึ่งจำเป็นมากสำหรับสตาร์ตอัปในช่วงแรก ที่ต้องปรับปรุงธุรกิจอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้างการเติบโต
นอกจากนั้น หลังดีลขายกิจการ แม้ผู้ร่วมก่อตั้งทั้ง 3 คน จะยังอยู่พัฒนาแอปพลิเคชันต่อ แต่ต่อมาไม่นาน พวกเขาก็ลาออก รวมทั้งในขณะนั้น Twitter กำลังประสบปัญหาขาดทุน จึงไม่ได้มุ่งเน้นพัฒนาบริการอื่น ๆ ในเครือมากนัก ซึ่งทำให้การดำเนินงานของ Vine ขาดความต่อเนื่อง
เมื่อคนหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่น ประกอบกับทิศทางธุรกิจในอนาคต ไม่ชัดเจน
จึงเป็นสาเหตุให้ Twitter ตัดสินใจไม่ไปต่อกับ Vine นั่นเอง
เรื่องนี้น่าจะเป็นแง่คิดที่ดี สำหรับการทำธุรกิจแพลตฟอร์มตัวกลาง
สิ่งที่ต้องใส่ใจเป็นอันดับต้น ๆ คงเป็นการปรับปรุงบริการ ให้ตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งานอย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าปราศจากคอนเทนต์ของกลุ่มคนเหล่านั้น ตัวแพลตฟอร์มเอง อาจจะไม่เหลือมูลค่าใด ๆ
เหมือนดังกรณีของ Vine ที่เคยสร้างฐานผู้ใช้งานได้แข็งแกร่งกว่า 200 ล้านราย
แต่สุดท้าย กลับต้องปิดตัวลงไป อย่างน่าเสียดาย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://en.wikipedia.org/wiki/Vine_(service)
-https://productmint.com/what-happened-to-vine/
-https://www.failory.com/cemetery/vine
-https://www.statista.com/statistics/282087/number-of-monthly-active-twitter-users/
ปี2014 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse
ทำไมเงินถึงไหลเข้ากองทุน ESG ถึง 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ?
Clubhouse BBLAM x ลงทุนแมน
ถ้าพูดถึง Theme การลงทุนพลังงานสะอาด หลายคนก็มักจะติดภาพความน่าเบื่อ และไม่ตื่นเต้น
แต่หลังจากที่ ลงทุนแมน ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์คือ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง ในวันพุธที่ 22 กันยายน ที่ผ่านมา
ก็พบว่า Theme พลังงานสะอาด ไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่หลายคนคิด นอกจากนั้นยังเป็น Theme ที่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก และยังเกี่ยวโยงกับหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังเติบโตในอนาคต อีกด้วย
ความน่าสนใจของเรื่องนี้จะเป็นอย่างไร
ลงทุนแมนจะมาสรุปให้ฟังง่าย ๆ 9 ข้อ..
1. ทำไมกระแส ESG จึงกลายเป็นที่พูดถึงในตอนนี้ ?
พลังงานสะอาดคือ เทรนด์การลงทุนที่สำคัญมากในอนาคต และไม่ใช่แค่เทรนด์ระยะสั้น
สังเกตได้จากเม็ดเงินที่ไหลเข้ากองทุน ESG ทั่วโลกแตะ 1,000,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ อ่านว่า “1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” เป็นครั้งแรก
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการลงทุนในยุโรป และการลงทุนใน ESG ยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย จึงเป็นหลักของการลงทุนที่เรียกว่า Green and Great Return
ถ้าเราลองมาดูผลตอบแทนของ กองทุน Pictet Global Environmental กองทุนรวมที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นกองทุนหนึ่งที่ B-SIP เข้าไปลงทุน ก็ให้ผลตอบแทนดีในหลายไตรมาส
และหากลงทุนตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2014 ก็จะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14.92% ถือว่าทำได้ดีกว่า เมื่อเทียบกับการลงทุนในดัชนีโลกที่มีทั้ง ESG และไม่มี ESG ที่ให้ผลตอบแทนเพียง 10%
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้การลงทุนกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ดูแลสิ่งแวดล้อมให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
ก็เป็นเพราะว่าบริษัทที่ยึดหลัก ESG จะมีคุณภาพทั้งด้านรายได้ กำไร และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ดีกว่า บริษัททั่ว ๆ ไป
ทำให้สามารถกำหนดราคาสูงขึ้นได้ ดึงดูดคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานได้ง่าย รวมทั้งยังมีโอกาสด้านต้นทุนการกู้ยืมที่ถูกกว่า เสียดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า และธนาคารปล่อยสินเชื่อง่ายกว่าอีกด้วย
2. ทำไม พลังงานสะอาด จะเป็นการเปลี่ยนแปลงรอบใหญ่ของโลก ?
สิ่งที่ทำให้ กองทุนบัวหลวงมองว่า พลังงานสะอาดจะไม่ใช่เทรนด์ระยะสั้น
ก็คือการสังเกตคลื่นนวัตกรรมเปลี่ยนโลกตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ผ่านมาแล้ว 5 คลื่นด้วยกัน นั่นคือ
- คลื่นที่ 1 คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรม
- คลื่นที่ 2 คือ การเริ่มใช้พลังงานไอน้ำ
- คลื่นที่ 3 คือ การใช้รถยนต์แทนม้า
- คลื่นที่ 4 คือ การเดินทางโดยเครื่องบิน
- คลื่นที่ 5 คือ โลกออนไลน์ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon, Netflix
สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่กินระยะเวลายาวนานหลายสิบปี และนำมาซึ่งกิจการขนาดใหญ่ที่มีความมั่งคั่งมากขึ้น
แต่ในโลกอีก 25 ปีข้างหน้า สิ่งที่จะกลายเป็นประเด็นสำคัญ และทั่วทั้งโลกกำลังเผชิญเหมือนกันอยู่ก็คือ “ภาวะโลกร้อน”
เพราะฉะนั้น คลื่นที่ 6 ก็คือ “เทคโนโลยีพลังงานสะอาด” ซึ่งจะเป็นหนึ่งเทรนด์ต่อจากนี้ไปอีก 25 ปี พร้อม ๆ กับ Robotics, Drones, AI, IoT สิ่งนี้เองที่จะเป็นแนวทางให้เราได้ว่า โลกในอนาคตจะเป็นไปในทิศทางไหน แล้วเราควรจะลงทุนอะไรต่อไป
3. สัญญาณสำคัญที่ชี้ว่า โลกกำลังอยู่ในช่วงต้น คลื่นที่ 6 พลังงานสะอาด คืออะไร ?
กองทุนบัวหลวงมองว่า Megatrends จะต้องมี 3 องค์ประกอบ คือ
1. ความร่วมมือระดับโลก
2. การเห็นด้วยจากรัฐบาล
3. ความร่วมมือภาคเอกชน
เมื่อครบทั้ง 3 องค์ประกอบนี้ เงินลงทุนก็จะหลั่งไหลมายังเทรนด์นั้น ๆ อย่างแน่นอน ซึ่งเทรนด์ ESG ตอนนี้มีครบทั้ง 3 องค์ประกอบเรียบร้อยแล้ว
เริ่มต้นด้วยความร่วมมือระดับโลกคือ ข้อตกลง Paris Agreement จาก UN
ที่ต้องการให้ประเทศต่าง ๆ ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันภัยพิบัติต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นจากภาวะโลกร้อน
ต่อมาคือ การขานรับนโยบาย จากรัฐบาลของประเทศมหาอำนาจ
เราได้เห็นประเทศต่าง ๆ ในยุโรปมีนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เช่น
- European Green Deal เพื่อที่จะลดการปล่อยคาร์บอนให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2050
- European Climate Law กฎหมายที่พูดถึงการลดการปล่อยมลพิษลงอย่างน้อย 55% ภายในปี 2030
นอกจากนี้มหาอำนาจอย่าง “สหรัฐอเมริกา” ก็ได้จัดตั้งแผนงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อม เช่น
- แผนที่ 1 วงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สำหรับการผลิตรถยนต์ EV และแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
- แผนที่ 2 วงเงิน 5.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว ซึ่งภายในปี 2035 สหรัฐอเมริกาตั้งเป้าจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์ 40% ของพลังงานทั้งหมด
ขณะเดียวกัน มหาอำนาจซีกโลกตะวันออกอย่าง “จีน” ที่แม้จะยังคงใช้พลังงานถ่านหินเป็นหลัก แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในปี 2035 เป็นต้นไป
โดยล่าสุดประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ยังกำหนดนโยบายสิ่งแวดล้อม ไว้ในแผนการพัฒนาประเทศฉบับที่ 14 ซึ่งจะลดการปล่อยคาร์บอนต่อสัดส่วนของ GDP ลง 65% และจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน 25% ภายในปี 2030 อีกด้วย
หรือประเด็นรถยนต์ไฟฟ้า แม้ในปี 2020 ยุโรปขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.3 ล้านคน ขณะที่จีนขายรถยนต์ EV ไปแล้ว 1.2 ล้านคัน แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าจีนจะสามารถแซงหน้าและกินส่วนแบ่ง 20% จากตลาดรถยนต์ทั้งหมดภายในปี 2025 ได้ไม่ยากเลย
4. แล้วภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมั่นใน Megatrends เรื่องพลังงานสะอาด แค่ไหน ?
ผลสำรวจของ UBS หรือธนาคารเพื่อการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์
ที่ได้สอบถามองค์กรต่าง ๆ ว่าอยากลงทุนใน Theme อะไรเป็นอันดับหนึ่ง
ปรากฏว่า 2 ใน 3 ตอบว่า จะลงทุนในพลังงานสะอาด เพราะเป็นปัญหาที่โลกเราต้องแก้ไข และยังให้ผลตอบแทนที่ดีด้วย
ซึ่งหากลงทุนในด้านพลังงานทดแทนเป็นระยะเวลา 5 ปี เมื่อเทียบกับการลงทุนในพลังงานแบบเก่า
จะเห็นว่า ผลตอบแทนแตกต่างกันค่อนข้างมาก จุดนี้เองที่บอกว่ามันคือ Green and Great Return
นอกจากนี้กองทุนใหญ่ ๆ ก็ประกาศเข้ามาลงทุนในเรื่องพลังงานสะอาดเช่นกัน
เช่น Cathie Wood ผู้จัดการกองทุน ETF ARK
ประกาศว่าจะทำกองทุน ETF ใหม่ ที่ใช้ ESG Score ทั้งสามด้าน
คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล
โดยจะไม่ลงทุนในบริษัทที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ส่งผลดีต่อสังคม
ขณะเดียวกัน กองทุนมหาวิทยาลัย Harvard ที่มีขนาด 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ก็ประกาศหยุดการลงทุนในบริษัทที่ผลิตพลังงานฟอสซิลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
รวมทั้งบริษัทผลิตน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Saudi Aramco ก็ประกาศลงทุนในพลังงานสะอาด
โดยลงทุนในโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในซาอุดีอาระเบีย
นอกจากนี้ ประเทศซาอุดีอาระเบีย ยังวางเป้าหมายประเทศว่าจะใช้พลังงานสะอาดให้ได้ 50% ภายในปี 2030 และจะไม่ได้ลงทุนแค่พลังงานลมและแสงอาทิตย์ แต่ยังลงทุนในพลังงานไฮโดรเจน อีกด้วย
5. แล้วอะไรคือ ความเสี่ยงของเทรนด์ ESG และพลังงานสะอาด ?
ความเสี่ยงของ ESG พลังงานสะอาดอย่างแรกคือ กองทุนที่เสนอขายเป็น ESG จริงหรือไม่ แล้วมีมาตรฐานขอบเขตการลงทุนด้านพลังงานสะอาดที่ชัดเจนจริง ๆ หรือไม่
ความเสี่ยงที่สองคือ ต้องระวังว่าบริษัทที่เกี่ยวกับพลังงานสีเขียวนี้ มีราคาแพงไปแล้วหรือยัง มีฟองสบู่ที่เรียกว่า Green Bubble จากเม็ดเงินที่เข้าไปลงทุน 1.65 แสนล้านในปี 2019 และอีกกว่า 3.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2020 อยู่หรือไม่
ดังนั้น วิธีการลงทุนที่สำคัญ คือ การเลือกกองทุนที่ใส่ใจเรื่อง Valuation และใช้เรื่องมูลค่ามาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดสำคัญในการลงทุน
6. แล้วเราควรเลือกลงทุนใน ธุรกิจพลังงานสะอาด อย่างไร ?
เราลองมาดูตัวอย่างธุรกิจที่เกี่ยวกับการผลิตไฟฟ้า การขนส่ง การทำการเกษตร ว่าจะสามารถ Green and Great Return ไปพร้อมกับการให้ผลตอบแทนที่ดีได้จริงหรือไม่
เริ่มต้นที่ Orsted บริษัทพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเดนมาร์ก เดิมทีเคยเป็นบริษัทพลังงานถ่านหินเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1972 โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากฟอสซิล
จากนั้นในปี 2008 ก็พลิกธุรกิจครั้งใหญ่มาสู่เส้นทางพลังงานสะอาด โดย 85% ของการผลิตไฟฟ้ามาจากพลังงานสีเขียว และเดินทางสู่การเป็นบริษัทพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ
ซึ่งรู้หรือไม่ว่า กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ หรือ GULF บริษัทพลังงานของไทย ก็ได้ร่วมลงทุนใน Orsted เช่นกัน เพราะมองเห็นนวัตกรรมของพลังงานลมที่ดีที่สุดในโลกของ Orsted โดย 1/3 ของพลังงานลมของโลก มาจากบริษัทนี้
ที่น่าสนใจก็คือ ราคาของพลังงานลม ถูกกว่า ราคาพลังงานของถ่านหินไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ปี 2018 และยังคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 พลังงานลมและแสงอาทิตย์จะเป็นแหล่งพลังงานที่ถูกที่สุดในโลก
ในแง่ของ Green and Great Return อย่าง Orsted เริ่มเข้าตลาดปี 2016 ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ราคาปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 96% ต่อปี
ขณะเดียวกันยังมีรายได้เติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี และจะเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องไปอย่างน้อยถึงปี 2050 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังมีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ได้อีกมาก เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น
7. ธุรกิจพลังงานสะอาดที่ไม่พูดไม่ได้ในตอนนี้ ก็คือ EV ?
เราทราบดีอยู่แล้วว่า หนทางลดปัญหามลภาวะจากการใช้รถยนต์ก็คือ การหันมาใช้รถยนต์ EV หรือรถไฟฟ้า แต่สงสัยไหมว่า ทำไมเทรนด์นี้จึงกลายเป็นโอกาสลงทุนมหาศาลในอนาคต
จากข้อมูลคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ EV จะเพิ่มขึ้น 18 เท่าในอีกสิบปีข้างหน้า แสดงว่าอาจเพิ่มขึ้นสองเท่าทุก ๆ ปี ซึ่งในอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะกลายเป็นรถยนต์ EV อย่างน้อย 80%
เหตุผลก็เพราะว่า ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะถูกลงเรื่อย ๆ สังเกตได้จาก ลิเทียมไอออนแบตเตอรี่ ที่มีราคาถูกลง 88% เมื่อเทียบกับสิบปีก่อน หากราคายังคงลดลงเรื่อย ๆ ก็เชื่อว่า ราคารถยนต์ EV และรถยนต์สันดาป จะมีระดับราคาใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ นโยบายของประเทศแถบยุโรปยังให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยจะยกเลิกการขายรถยนต์สันดาปแล้วจริง ๆ เช่น สวีเดน ประกาศยกเลิกในปี 2025 หรืออังกฤษ ก็ประกาศยกเลิกในปี 2035
พอเป็นแบบนี้ แบรนด์รถยนต์ต่าง ๆ จึงต้องปรับตัวกันถ้วนหน้า ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่อย่าง Honda, Toyota หรือแบรนด์ใหม่อย่าง Tesla, BYD, XPeng แม้กระทั่งค่ายเก๋าอย่าง Harley-Davidson, Porsche ก็ต้องปรับตัวตามเช่นกัน
ที่น่าสนใจก็คือ การเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมรถยนต์รอบนี้ ทิศทางเงินลงทุนไม่ใช่แค่ส่วนของรถยนต์ EV เพียงอย่างเดียว แต่จะไปถึง Supply Chain ต่าง ๆ ทั้งหมด เช่น
- บริษัทผลิตแบตเตอรี่
- บริษัทชิป Semiconductor
- บริษัท Software ที่ทำ ADAS (รถยนต์ไร้คนขับ Autonomous Driving) และบริษัท Simulation ทำการจำลองการขับรถ
ทีนี้ลองมาดูตัวอย่างธุรกิจรถยนต์ EV ที่กองทุน B-SIP เข้าไปลงทุนกันบ้าง
XPeng อ่านว่า เสี่ยวเผิง เป็นบริษัทรถยนต์ EV เน้นตลาดระดับกลางเเละระดับสูงในจีน ที่เรียกได้ว่าท้าชนกับ Tesla ได้เลย เช่น รถยนต์ EV รุ่น XPeng P7 ที่มีราคาเปิดตัวล้านกว่าบาท ชาร์จหนึ่งครั้งจะวิ่งได้ 700 กิโลเมตร โครงสร้างต่าง ๆ มาจากการออกแบบของวิศวกรที่มาจาก Apple, Tesla
XPeng ยังใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ อย่าง 5G, AI ซึ่งตอนนี้ก็มีเทคโนโลยี Autonomous Driving เรียบร้อยแล้ว และยังใช้แบตเตอรี่ของ CATL ผู้ผลิตแบตเตอรี่จีนที่ใหญ่ที่สุด ที่เพียงใช้เวลา 30 นาที ก็สามารถชาร์จได้ 80% อีกด้วย
ด้วยเหตุนี้ กองทุน B-SIP จึงไม่พลาดที่จะเข้าไปลงทุน IPO ปีที่แล้ว เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งธุรกิจพลังงานสะอาดที่มี Green and Great Return เลยทีเดียว
8. นอกจาก พลังงานลม และรถยนต์ EV ยังมีธุรกิจไหนจะเป็นเทรนด์อนาคตได้อีกบ้าง ?
เริ่มต้นด้วยเรื่องใกล้ตัว อย่างอาหารที่เรียกว่า “Beyond Meat” ซึ่งเป็นธุรกิจผู้ผลิตอาหารคล้ายเนื้อที่ไม่ได้มาจากเนื้อจริง ๆ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเรื่องปัญหาดิน ปัญหาน้ำ และปัญหามลพิษ
โดยในปี 2050 คาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก 2.8 พันล้านคน และจะตามมาด้วยปริมาณอาหารที่ต้องการเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
หากเป็นอาหารประเภทเนื้อสัตว์ จำเป็นต้องใช้พื้นที่เลี้ยงสัตว์และปัจจัยต่าง ๆ มากกว่าการปลูกพืชอย่างมาก เช่น การเลี้ยงวัว จะใช้ที่ดินมากกว่า 18 เท่า รวมทั้งใช้น้ำและพลังงานมากกว่า 10 เท่า และยังจะปล่อย ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และก๊าซมีเทน ออกมาจากร่างกายอีกด้วย
จึงไม่แปลกใจเลยว่า สัดส่วน 79% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในการเกษตรมาจาก “การเลี้ยงสัตว์”
ปัจจุบัน Beyond Meat กำลังขยายฐานลูกค้าได้ดี สังเกตได้จากแบรนด์อาหารต่าง ๆ ที่หันมานำเสนอผลิตภัณฑ์จาก Beyond Meat มากขึ้นทั่วสหรัฐอเมริกา
เช่น แมคโดนัลด์, เอแอนด์ดับบลิว, Dunkin'
และยังกระจายไปตามร้านสะดวกซื้อ ที่เราสามารถซื้อกลับไปปรุงอาหารที่บ้านได้เองอีกด้วย
Beyond Meat กลายเป็นบริษัทที่น่าจับตามอง และเข้า IPO ในปี 2019 ที่มีมูลค่าบริษัท 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มาในปีนี้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 9.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นสองเท่ากว่า ๆ ภายในสองปี นอกจากนี้ยังมีรายได้ปี 2020 เติบโต 36% อีกด้วย
นอกจากธุรกิจอาหารแล้ว ก็ยังธุรกิจอื่น ๆ ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เช่น
- Schneider Electric เป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น ลิฟต์ ที่มีการคำนวณการใช้งานแบบประหยัดพลังงาน ซึ่งในอนาคตหากอาคารไหนเป็นอาคารประหยัดพลังงาน ก็จะสามารถเรียกค่าเช่าสูงขึ้นได้
- Equinix เป็นบริษัทโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก เป็นศูนย์จัดเก็บข้อมูลที่ไม่สามารถหยุดทำงานได้ ต้องใช้ไฟตลอดทั้งวันทั้งคืน ปัจจุบันบริษัทสามารถใช้พลังงานหมุนเวียน 92% ของพลังงานทั้งหมด
- Ansys เป็นบริษัทจำลองผล จำลองสถานการณ์สำหรับรถยนต์, เครื่องบิน และอื่น ๆ เพื่อช่วยลดปริมาณการสูญเสียทรัพยากรในช่วงของการทดสอบ
เช่น Dyson แบรนด์เครื่องเป่าผมของผู้หญิง ทำให้แห้งเร็วขึ้นและดีขึ้น
Ansys เข้ามาช่วยคำนวณทิศทางลม, ลมแรง และค้นหาประสิทธิภาพที่ดีที่สุด โดยใช้ซอฟต์แวร์จำลองผลการทดสอบ ช่วยประหยัดทรัพยากร และประหยัดต้นทุนไปได้อย่างมาก
สรุปแล้ว แค่ Theme พลังงานสะอาดอย่างเดียว ก็ทำให้เราเห็นโอกาสของธุรกิจหลากหลายสาขา
ไม่ว่าจะเป็น การผลิตไฟฟ้าที่จะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนด้วยพลังงานลม
หรือจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากรถยนต์ที่จะเปลี่ยนทั้ง EV Supply Chain
รวมทั้ง การแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนด้วยอุตสาหกรรมอาหาร และการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือมากขึ้น นั่นเอง
9. แล้วเราจะเข้าถึงโอกาสการลงทุนในบริษัทเหล่านี้ได้อย่างไร ?
กองทุน B-SIP เป็นหนึ่งกองทุนเพื่อตอบโจทย์การลงทุนในพลังงานสะอาดโดยตรง และมีจุดเด่นด้วยสไตล์การลงทุนของกองทุนบัวหลวง ที่จะเฟ้นหาธุรกิจดีมีคุณภาพและเติบโต ซึ่งจะสร้างความแตกต่างจากกองทุนอื่นทั่วไป นั่นคือ
1. เน้นลงทุนธุรกิจรักษาสิ่งแวดล้อม ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ในอนาคตที่เรียกว่า Green and Great Return นั่นเอง
2. มองว่าเทรนด์รักษาสิ่งแวดล้อมและพลังงานสะอาด จะเป็น Megatrends ของโลกที่เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น จึงเชื่อว่า Theme นี้มีความน่าสนใจและสามารถลงทุนระยะยาวได้
3. เปลี่ยนภาพจำว่า การลงทุนในพลังงานสะอาดและสิ่งแวดล้อมไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นน่าเบื่อหรือหุ้นโครงสร้างพื้นฐานเสมอไป
เพราะการลงทุนของ B-SIP ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเติบโต มีนวัตกรรม มีเทคโนโลยี และยังคำนึงถึงการประเมิน Valuation ด้วย
ถ้าฉายภาพใหญ่ ๆ ก็คือ กองทุน B-SIP จะลงทุนทั้งในฝั่ง Global Environmental Opportunities และ Clean Energy นั่นเอง
โดยฝั่ง Global Environment จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 40% นอกจากนั้นจะเป็นบริษัทอุตสาหกรรม, กลุ่มวัสดุก่อสร้าง และกลุ่มเคมีภัณฑ์
ซึ่งจะมีรูปแบบลงทุน Active Management เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า
ส่วนในฝั่งของพลังงานสะอาด จะมีสัดส่วนธุรกิจเทคโนโลยี 48% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้เข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรม EV ทั้ง Supply Chain ราว 33% ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทฝั่งสหรัฐอเมริกา และยุโรป เพราะเป็นผู้นำเรื่องเทคโนโลยีพลังงานสะอาด
เช่น Orsted ธุรกิจพลังงานลมนอกชายฝั่งมากว่า 10 ปี มีเทคโนโลยีน่าสนใจ และยังมีโอกาสขยายตลาดได้อีกมาก
ทั้งหมดนี้ จึงสะท้อนได้ว่า กองทุน B-SIP เป็นอีกหนึ่งช่องทางลงทุนใน Theme พลังงานสะอาดที่จะสร้างการเติบโตในระยะยาวได้แบบ Green and Great Return นั่นเอง..
ปี2014 在 Gladiuz KB Youtube 的精選貼文
เหตุการณ์ในปี2014ของการ์ตูนในนิตยสารโชเนนจัมป์
(เป็นไลฟ์วันเดียวกับปี2013นะครับ เลยเสียงแหบแห้งไปหน่อย
ซึ่งประมาณการจากพลังงานตัวเองแล้วได้วันนึงไม่เกินปีนึงครับ
เจ็บคอมั่ก)
สอบถามสั่งซื้อแว่น OPHTUS ได้ที่ https://www.facebook.com/ophtus/
ใช้ Code “GLADIUZ" ในการสั่งซื้อ
รับทันทีส่วนลด 100 บาท จากทางร้าน
*********************************************************
สำหรับเพื่อนๆมาพบเจอกันนอกรอบ ได้ที่
►Facebook : https://www.facebook.com/gdzfanpage/
►Twitch : https://www.twitch.tv/yousayix
►IG : https://www.instagram.com/yousayix/
สมัครสมาชิกช่องYoutube► https://bit.ly/3qvrUoU
*********************************************************
ขอบคุณมากๆครับสำหรับคอมเม้นติชม
และคนดูที่น่ารักทุกคนที่คอยซัพพอร์ตกันมาตลอด
*********************************************************
ปี2014 在 CarDebuts Youtube 的最佳解答
เตรียมเปิดตัว All-New Mazda2 Hybrid 2022 มาสด้า2 ไฮบริด ในปี 2021
หลังจากเปิดตัวเจนเนอเรชั่นล่าสุด และทำตลาดมาตั้งแต่ปลายปี 2014 ในที่สุด สื่อญี่ปุ่นอย่าง bestcar ได้ออกมายืนยันอีกครั้งว่า Mazda เตรียมเปิดตัว All-New Mazda2 เจนเนอเรชั่นที่ 5 ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกันยายน ปี 2021 นี้ ซึ่งจะครบ 7 ปี ในการทำตลาดเจนเนอเรชั่นปัจจุบันพอดิบพอดี และเป็นเดือนที่ Mazda ใช้เปิดตัว Mazda2 รวมถึงรุ่นไมเนอร์เชนจ์มาก่อน หรืออย่างช้า น่าจะเกิดขึ้น ก่อนกลางปี 2022 หากไม่ได้รับผลกระทบ จากสถานการณ์โรคระบาด ซึ่ง Mazda2 รุ่นล่าสุด เพิ่งได้รับการปรับโฉม ในปี 2019 พร้อมกับการเปลี่ยนชื่อรุ่น จาก Demio ในประเทศญี่ปุ่น มาเป็น Mazda2 เหมือนกับตลาดอื่นๆทั่วโลก
All-New Mazda2 เจนเนอเรชั่นที่ 5 จะมาพร้อมแพลตฟอร์ม และส่วนประกอบหลักๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ ช่วยให้สมรรถนะดีขึ้น และกินน้ำมันน้อยลง โดยมาพร้อมตัวถัง ที่มีความยาวมากกว่าเดิม 50 มม ส่วนความกว้างและระยะฐานล้อ มีขนาดเท่าเดิม ทำให้ห้องโดยสารภายใน มีพื้นที่มากขึ้น นอกจากนั้น ยังช่วยให้การควบคุมการขับขี่ดีขึ้นอีกด้วย และน้ำหนักตัวที่ลดลงไป ราว 100 กิโลกรัม ช่วยให้ประหยัดน้ำมันกว่าเดิมมาก
ปี2014 在 ลงทุนแมน Youtube 的最佳解答
โอกาสการเติบโต ในธุรกิจเมกะเทรนด์กับ Jitta Wealth Thematic
ปัจจุบัน หลายธุรกิจ กำลังเผชิญกับดิสรัปชัน ในขณะที่โควิด 19 เป็นอีกตัวเร่งที่จะทำให้ผู้นำนวัตกรรม มีบทบาทเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
การประชุมจากที่บ้าน การเก็บข้อมูลทางธุรกิจ ไว้บนอากาศ
สิ่งเหล่านี้ กำลังจะเป็นเมกะเทรนด์
แล้วเรา จะมีโอกาสเติบโตไปกับมัน อย่างไรได้บ้าง?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
รู้ไหมว่าธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี เติบโตมากถึง 48% ในปีที่ผ่านมา
(อ้างอิงจาก MSCI World Information Technology)
โดยธีมธุรกิจ ที่กำลังเป็นเมกะเทรนด์ มีตั้งแต่ธุรกิจที่จะเข้ามาช่วยให้การทำงาน มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เช่น Zoom แอปพลิเคชันประชุมที่เติบโตขึ้นเป็น 6 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี
รวมถึง ซอฟต์แวร์องค์กรอย่าง Salesforce และ Zendesk ที่กำลังเติบโตได้ดี เช่นกัน
อีกหนึ่งเมกะเทรนด์ ก็คือ อีคอมเมิร์ซ ที่กำลังเติบโต แบบก้าวกระโดด
มูลค่าการซื้อของบนอีคอมเมิร์ซ ทั่วโลก
ปี 2014 มูลค่า 39 ล้านล้านบาท
ปี 2020 มูลค่า 126 ล้านล้านบาท)
การเติบโตคิดเป็น 3 เท่า ภายใน 6 ปี
ซึ่งผู้ที่เป็นผู้นำในเรื่องนี้ก็คือ Amazon ที่สหรัฐ กับยุโรป และ Alibaba ที่ประเทศจีน
นอกจากนี้ ก็ยังมี เจ้าของเทคโนโลยีทางการเงิน เช่น Square และ PayPal ที่เป็นตัวกลางการจ่าย และโอนเงินผ่านอินเทอร์เน็ต ก็เป็นอีกเมกะเทรนด์ที่น่าสนใจ
ในขณะที่โรคระบาดโควิด 19 ก็ทำให้เราเห็นวิวัฒนาการเกี่ยวกับวงการแพทย์
หนึ่งในนั้นก็คือ การคิดค้นวัคซีนโดยบริษัท Pfizer ร่วมกับ BioNTech ที่ทำสำเร็จในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี
นอกจากนั้น การประยุกต์ใช้กัญชาในวงการแพทย์ ก็เป็นอีกก้าวสำคัญไม่แพ้กัน
ธุรกิจเหล่านี้ ถือเป็นเมกะเทรนด์ ที่มีแนวโน้มที่จะก้าวขึ้นมาเป็นธุรกิจ ยักษ์ใหญ่ในอนาคต
ซึ่งเราก็สามารถเติบโตไปกับธุรกิจเมกะเทรนด์เหล่านี้ได้ด้วยบริการกองทุนส่วนบุคคล Thematic จากบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด หรือ Jitta Wealth
บริษัทแห่งนี้เป็น สตาร์ตอัป WealthTech แห่งแรกในประเทศไทย ที่ได้รับใบอนุญาต จาก ก.ล.ต. ในการบริหารจัดการเงินลงทุนในรูปแบบ กองทุนส่วนบุคคล
โดย Thematic เป็นบริการจัดการกองทุนส่วนบุคคลที่จะเข้าไปลงทุนใน ETF ซึ่งจะลงทุนในเมกะเทรนด์ของโลก เช่น ธุรกิจคลาวด์ อีคอมเมิร์ซ ระบบ AI เทคโนโลยีทางการเงิน และเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีแนวโน้มในการเติบโตในระยะยาว ตามหลักการลงทุนแบบ Passive
โดยใช้เงินลงทุนเริ่มต้นเพียง 100,000 บาท
ซึ่งถือว่าต่ำกว่า หากเราไปเริ่มลงทุนต่างประเทศเอง
อีกจุดสำคัญ คือเรา สามารถลงทุนได้ถึง 5 ธีม ในพอร์ตเดียวโดย Jiita ก็มีเทคโนโลยีมาช่วยในการจัดการให้อัตโนมัติ ทำให้เรา ไม่ต้องกังวล และคอยหาจังหวะตลาด ด้วยตัวเอง
บวกกับการลงทุนใน ETF ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม ก็ถือเป็นการกระจายความเสี่ยง และอิงการเติบโตตามกลุ่มธุรกิจ นั่นเอง
วิกฤติปีนี้ เป็น Black Swan ที่ส่งผลกระทบรุนแรง ทั่วทุกมุมโลก
แต่มันก็เป็น โอกาส ที่ทำให้เราเริ่มต้นลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์ ได้เช่นกัน
หากเราเป็นหนึ่งในผู้ที่กำลังมองหาธีมการลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์ และต้องการเติบโตไปกับธุรกิจเหล่านั้นในระยะยาว
บริการ Thematic ของ Jitta Wealth ที่ทำให้เราลงทุนในธุรกิจเมกะเทรนด์และมีเทคโนโลยีการจัดพอร์ตการลงทุนส่วนบุคคล ครบวงจรก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือก ที่น่าสนใจที่สุด ในช่วงนี้..
คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วน ก่อนตัดสินใจลงทุน
ปี2014 在 NEW MSX125 ปี 2014 - Facebook 的必吃
3. 1. 3. 2. NEW MSX125 ปี 2014. ... <看更多>
ปี2014 在 TOYOTA CAMRY HYBRID 2.5 HV DVD PREMIUM ปี 2014 ... 的必吃
รีวิว TOYOTA CAMRY HYBRID 2.5 HV DVD PREMIUM ปี 2014 พรีเมียมไฮบริดที่มาพร้อมกับความหรูหราระดับผู้บริหาร พ่วงด้วยความประหยัดจากขุมพลังไฮบริด ... ... <看更多>