ทำไมไทยแลนด์ไม่ใช่แดนการอ่าน?
---
วันนั้นในคลับเฮ้าส์มีการยกหัวข้อนี้ขึ้นมาสนทนากันระหว่างคุยกันเรื่องแท่นพิมพ์ของกูเตนเบิร์ก วันนี้มีคำตอบเพิ่มเติมหลังอ่าน 'การเดินทางในโลกหนังสือ' ของอาจารย์กิ่งแก้ว อัตถากร (เล่มบางแต่ชอบมาก)
ในโลกตะวันตก วัฒนธรรมหนังสือมีมายาวนาน ตั้งแต่โฮเมอร์ เขียนโอดิสซี สันนิษฐานว่าเขาน่าจะเขียนขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงถูกถ่ายทอดในกลุ่มนักขับร้องต่อเนื่องกันมา อันนี้ก็เหมือน 'มุขปาฐะ' (เล่า/รู้เรื่องด้วยปาก)
โฮเมอร์เกิดเมื่อไหร่ยังเถียงกันอยู่ ล่าสุดประมาณว่าศตวรรษที่ 10 ก่อน ค.ศ. โดยดูจากสงครามทรอยเกิด 1194–1184 ปีก่อน ค.ศ. นั่นก็นานพอดู มันคือ 3,000 กว่าปีก่อน
แม้งานของโฮเมอร์ถูกเล่าต่อด้วยปาก แต่มาถึงยุคนักปราชญ์กรีกอย่างโสคราตีสและผองเพื่อนก็มีการพูดถึงการ 'ไปหาหนังสือมาอ่าน' และงานเขียนของนักปรัชญาและพวกโซฟิสต์ในตลาดหนังสือ
ขณะที่เมืองไทยมีการแจกหนังสือเป็นของชำร่วยกันประมาณ 100 ปีนี้เอง มิต้องนับว่าการอ่านก็ยังอยู่ในแวดวงจำกัด (คนรู้หนังสือ คนชั้นสูง) คราวนี้พอวิทยุ โทรทัศน์ เลยมาถึงอินเทอร์เน็ตโถมเข้ามา วัฒนธรรมการฟังการดูยังไม่ทันเปลี่ยนมาเป็นการอ่านก็ไหลต่อไปตามสื่อสมัยใหม่ ต่างจากในฝั่งตะวันตกที่การอ่านมีโอกาสหยั่งรากลึกในช่วงก่อนเทคโนโลยีอย่างวิทยุทีวีจะเกิดขึ้น
📖📖📖
อาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา เล่าถึงอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้วัฒนธรรมการอ่านของตะวันตกแข็งแรงก็คือการเกิดขึ้นของนิกายโปรแตสแตนท์ ซึ่งก็มาพร้อมๆ กับแท่นพิมพ์ของกูเตนเบิร์ก เกิดการตีพิมพ์คัมภีร์ไบเบิ้ลแพร่หลาย ผู้คนในประเทศที่ปล่อยมือจากอำนาจของคริสตจักรคาทอลิกก็หันมา 'อ่านเอง' กันมากมาย การอ่านไบเบิ้ลทำให้คนให้คุณค่ากับ 'ตำรา' เกิดวัฒนธรรมที่เชื่อว่าหนังสือเป็นความจริง ฉะนั้นการอ่านจึงเป็นการทำความเข้าใจความจริงไปด้วย ไม่ต้องฟังจากบาทหลวงหรือใครๆ อีกต่อไป คุณสามารถเข้าถึงความจริงได้ด้วยตัวเอง แน่นอนว่าหลังจากนั้นก็เกิดความเปลี่ยนแปลงนานาประการ แต่ความรู้สึกลึกๆ ที่คนให้คุณค่ากับหนังสือและการอ่านก็ยังไม่จางหายไปไหน
📖📖📖
จอห์น มิลตัน เคยเขียน Areopagitica คือวาทกรรมขนาดยาวเพื่อ 'the liberty of unlicensed printing' หรือเพื่อ 'เสรีภาพของการตีพิมพ์โดยไม่ต้องมีการควบคุมออกใบอนุญาต' อาจารย์กิ่งแก้วเล่าว่า นี่คือวาทกรรมที่เสนอต่อสภาผู้แทนของอังกฤษ ตีพิมพ์วันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1644 (สมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง) 377 ปีที่แล้ว!
ลำพังแค่เกร็ดเหล่านี้ก็อาจจะพอประกอบเป็นคำตอบได้แล้วว่าเหตุไฉนสังคมไทยจึงมิใช่สังคมแห่งการอ่านอย่างกว้างขวาง ยังมิต้องนับว่าการอ่านถูกทำให้เป็นการ 'อ่านเพื่อเชื่อ' มากกว่า 'อ่านเพื่อขบและถกเถียง'
📖📖📖
ส่วนตัวแล้วผมพบว่าความรู้ 'ขม' เมื่อต้องหยิบหนังสืออ่านนั้นเกิดขึ้นในห้องเรียน เพราะตำราเหล่านั้นไม่สนุก การเรียนการสอนเองก็ไม่มีพื้นที่ของแลกเปลี่ยนความเห็นที่แตกต่าง--ไม่ขบก็เลยขม
ประสบการณ์กับหนังสือในช่วงวัยเด็กเป็นเรื่องสำคัญว่าเด็กคนนั้นจะรู้สึกอย่างไรกับหนังสือและการอ่าน หากหนังสือดูเหมือนคนดุๆ แข็งๆ พูดอะไรมาก็ต้องเชื่อ เด็กคงเบื่อและไม่อยากเข้าใกล้ แต่ถ้าหนังสือเป็นบานประตูเปิดไปสู่ความคิดอื่น ความเป็นไปได้ใหม่ อันนี้เหมือนได้เข้าสู่ดินแดนอัศจรรย์
หนังสือและการอ่านจึงต้องมาพร้อมเสรีภาพในการคิดด้วย
หาไม่แล้วมันจะเหมือนคำสั่งให้จำมากกว่าชนวนความคิด
📖📖📖
ไม่แน่ใจว่าเราจะคาดหวังอะไรได้บ้างในประเทศที่ยังมีการยึดหนังสือ บุกสำนักพิมพ์ให้เห็นอยู่เนืองๆ วัฒนธรรมการอ่านนั้นเกิดขึ้นพร้อมเครื่องหมายคำถามในหัวผู้คน
อ่านแล้วสงสัย
อ่านแล้วไม่เชื่อ
อ่านแล้วดื้อ
ไม่แปลกที่รัฐที่ตอกย้ำเรื่อง 'ความมั่นคง' อยู่ตลอดเวลาจะสอดส่องการอ่านอย่างเคร่งครัด เลยเถิดมาถึงสื่อออนไลน์ต่างๆ เพราะการคุมการอ่านก็คือคุมความคิด ในบรรยากาศของการคุมการอ่านให้อ่านเฉพาะที่อยากอ่าน ให้เขียนเฉพาะที่อยากให้เขียน (ไม่งั้นถูกปลดจากศิลปินแห่งชาตินะจ๊ะ) อันนำมาซึ่งให้คิดเฉพาะที่อยากให้คิด
การอ่านจึงไม่สนุก วัฒนธรรมการอ่านจึงไม่แพร่ไปในวงกว้าง
377 ปีก่อน จอห์น มิลตัน พูดถึงเสรีภาพของการตีพิมพ์โดยไม่ต้องมีการควบคุมออกใบอนุญาต ในปี 2021 สังคมไทยเป็นอย่างไร?
ทำไมไทยแลนด์ไม่เป็นแดนแห่งการอ่าน?
นั่นสิ น่าสงสัย
แต่อย่าสงสัยเลย เพราะความสงสัยเป็นเรื่องต้องห้ามในดินแดนที่การอ่านถูกกำหนดให้อ่านเฉพาะสิ่งที่เขาอยากให้อ่าน กระนั้นในสังคมเดียวกันก็ต้องการเยาวชนที่กล้าคิด กล้าแตกต่าง กล้าสร้างสรรค์ และรณรงค์เรื่องการอ่านอยู่เสมอ
และมีคนตั้งคำถามอยู่บ่อยๆ ว่า ทำไมคนไทยไม่รักการอ่าน
สภาพพพพพพ
---
ขอบคุณ สถาบันสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เพื่อการศึกษาคติชนวิทยาและปรัชญาอมตะ ที่จัดทำหนังสือทรงคุณค่าเป็นวิทยาทานอย่างต่อเนื่องครับ
同時也有6部Youtube影片,追蹤數超過59萬的網紅Trainer Nalisa,也在其Youtube影片中提到,เลือกให้ชีวิตพบเจอแต่ "ความรัก" กลับมาดูใจตัวเองก่อน เรียนฟรี ที่ - https://bit.ly/2MyrkYe ?มาเป็นอีกหนึ่งใน 20,000 กว่าราย ที่มีชีวิตสวนกระแส... ใค...
「ความมั่นคง」的推薦目錄:
- 關於ความมั่นคง 在 Roundfinger Facebook 的最讚貼文
- 關於ความมั่นคง 在 Money Coach Facebook 的最佳貼文
- 關於ความมั่นคง 在 สมองไหล Facebook 的精選貼文
- 關於ความมั่นคง 在 Trainer Nalisa Youtube 的最佳貼文
- 關於ความมั่นคง 在 Trainer Nalisa Youtube 的最讚貼文
- 關於ความมั่นคง 在 ืNANAKE555 Youtube 的最佳貼文
- 關於ความมั่นคง 在 'ประยุทธ์' ปลื้มไทยติดอันดับความมั่นคงไซเบอร์โลก แต่ยังใช้คุกคามคน ... 的評價
- 關於ความมั่นคง 在 SocialMsociety (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) 的評價
- 關於ความมั่นคง 在 การบริหารจัดการด้านความมั่นคง ความปลอดภัย และอาชีวอนามัย - PTT 的評價
ความมั่นคง 在 Money Coach Facebook 的最佳貼文
“พ่อรวยสอนลูก” 2021
ช่วงนี้อยู่บ้าน มีเวลานั่งเปิดอ่านหนังสือเก่าๆ ที่เคยแปล เคยเขียน เล่มหนึ่งที่ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานหนังสือของผม ก็คือ Rich Dad Poor Dad หรือ “พ่อรวยสอนลูก” โดย โรเบิร์ต คิโยซากิ
ผ่านเวลา 20 ปี หนังสือเล่มนี้ยังติดอันดับขายดี แถมเนื้อหาก็ยังร่วมสมัย ใช้ได้ไม่ตกยุค ได้เปิดอ่านอีกรอบ เลยอยากสรุปประเด็นที่มองเห็น เมื่อเทียบกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ในมุมมองของตัวเอง เผื่อเป็นประโยชน์กับน้องๆ รุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มต้นศึกษาเรื่องเงิน จะได้ประโยชน์เพิ่มขึ้นอีกสักนิดจากการอ่านหนังสือเล่มนี้
6 บทเรียนของพ่อรวย กับยุค 2021 ในมุมมองผู้แปลและเรียบเรียง
1. คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน
เอาเข้าจริงข้อนี้หลายคนแปลความผิด คิดว่าคนรวยทำงานไม่มุ่งหวังเงินหรือผลตอบแทน จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ (เวลาทำงานเราก็ควรได้ผลตอบแทนสมน้ำสมเนื้อกับเนื้องานนั่นแหละ) แต่คำว่า คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน ในที่นี้หมายถึง “คนรวยไม่ติดพันธนาการทางการเงิน” ต่างหาก
ซึ่งพันธนาการที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเป็นหนี้จน หนี้ที่ทำเราต้องเหนื่อย ต้องดิ้นรน เพราะเป็นหนี้ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ และเมื่อไหร่ที่เราติดกับดักหนี้พวกนี้ เราจะคิดถึงแต่ “เงิน” ทำอะไรก็ต้องเอาเงินเป็นตัวตั้ง ไม่ได้เงินไม่ทำ ได้น้อยไม่ทำ (ขยันเพราะหนี้เยอะ กับขยันเพราะอยากสร้างชีวิตให้มั่นคงเร็วๆ ไม่เหมือนกัน)
คนเราเมื่อมี “หนี้” เป็นพันธนาการ วิสัยทัศน์การเงินจะสั้นลง เหลือแค่ไม่เกิน 30 วัน เพราะครบเดือนก็จะถูกติดตามทวงถามกันอีกแล้ว ก็เลยฝันไปไกลหรือคิดไปไกลกว่านั้นไม่ได้ สถานการณ์หนี้ครัวเรือนบ้านเราที่แตะระดับ 90% คือ อันตรายที่บอกเราว่า คนจำนวนไม่น้อยกำลังตกอยู่ในสภาวะแบบนี้
ถ้าคุณไม่มีหนี้ หรือมีภาระหนี้ในระดับที่ควบคุมได้ (กระแสเงินสดต่อเดือนยังเป็นบวก) คุณจะไม่ติดกับดักความคิดเรื่องเงิน และมีโอกาสต่อยอดไปได้ไกลและได้เร็วกว่า ดังนั้นหมั่นควบคุมระดับหนี้ให้ดี อย่าให้เงินผ่อนชำระหนี้ต่อเดือน (DSR) สูงเงินไปนะครับ
2. แยกให้ออกว่าอะไร คือ “ทรัพย์สิน” อะไร คือ “หนี้สิน”
คนที่อ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก จะท่องได้เหมือนกันหมด “ทรัพย์สิน” คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋า “หนี้สิน” คือ สิ่งที่ทำให้เงินไหลออกจากกระเป๋า ซึ่งหลักคิดนี้ก็ยังใช้ได้จนถึงปัจจุบันนะ ไม่ล้าสมัย
คำถามสำคัญ คือ ท่องได้แล้วเราเคยสังเกตการจัดเงินของตัวเองหรือเปล่าว่า แต่ละวันเงินที่เราหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงนั้น จ่ายไปกับอะไรบ้าง มีไหลไปสะสมเป็นทรัพย์สินบ้างหรือเปล่า หรือส่วนใหญ่จ่ายไปกับค่าใช้จ่าย (ใช้แล้วหมดไป) และหนี้สิน (ใช้แล้วเป็นภาระระยะยาว)
(ทรัพย์สินได้แก่อะไรบ้าง เงินฝาก สลากออมทรัพย์ พันธบัตร หุ้นกู้ หุ้นสหกรณ์ หุ้น ทองคำ กองทุนรวม อสังหาฯ ธุรกิจที่เราไม่ต้องลงมือทำ ลิขสิทธิ์ เหรียญดิจิทัล ฯลฯ)
จะดูว่าคนเราแยกออกไหม ว่าอะไรเป็นทรัพย์สิน-หนี้สิน อาจดูได้จาก อัตราส่วนเงินออมเงินลงทุน ของเขาก็ได้ ว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้าเดือนหนึ่งหาเงินได้ 100 บาท จ่ายให้ตัวเอง (Pay Yourself) โดยการนำไปออมและลงทุน เกิน 10 บาท อันนี้ถือว่าเข้าใจจริง เพราะนำไปปฏิบัติสม่ำเสมอ (ถ้าถึงระดับ 20% ได้จะเฟี้ยวมาก)
แต่ถ้าออมและลงทุนได้ไม่ถึง 10% ของรายได้ที่หาได้ อันนี้เรียก ทฤษฎีแน่น ปฏิบัตินุ่มนิ่ม ผลลัพธ์ไม่ต้องบอกก็รู้กัน
นอกจากนี้ทุกปี เราอาจลองคำนวณหา ความมั่งคั่งสุทธิ (Net Worth) โดยนำทรัพย์สินรวมทั้งหมดที่มี ลบออกด้วยหนี้สินทั้งหมดในชื่อเราดู ว่าผลลัพธ์สุดท้ายเป็นบวกมั้ย และบวกเพิ่มขึ้นทุกปีหรือเปล่า ถ้าความมั่งคั่งสุทธิเป็นบวก และบวกเพิ่มขึ้นทุกปี อันนี้ถือว่ามีแววครับ
3. สร้างธุรกิจของตัวเอง
ในบทเรียนที่ 3 นี้ เอาเข้าจริงไม่ได้หมายความว่า ให้ทุกคนสร้างธุรกิจของตัวเองหรอกนะครับ ผมคุยกับโรเบิร์ตตอนแปลหนังสือ แกบอกว่าสังเกตดูสิ “ทรัพย์สิน” ทุกอย่างก็อยู่ในรูปธุรกิจทั้งหมดนั่นแหละ ธุรกิจทั่วไปแน่นอนว่าเป็นธุรกิจอันนี้ชัด อสังหาฯให้เช่า ก็คือ ธุรกิจจัดหาที่พักให้แก่ผู้คน ลิขสิทธิ์หนังสือ ก็ถูกนำมาจัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในธุรกิจส่ิงพิมพ์ หรืออย่างในปัจจุบัน วิดีโอที่ Youtuber อัพโหลดกัน (เป็นทรัพย์สิน) ก็อยู่ในธุรกิจโฆษณา
ดังนั้นถ้าคุยสะสมอะไรที่มีมูลค่าเพิ่ม หรือให้กระแสเงินสดได้ ก็มองเป็น “ธุรกิจ” ได้ (ฝากเงินธนาคาร ก็เหมือนเราทำธุรกิจสินเชื่อเหมือนกันนะ!)
แต่ถ้าเราสร้างธุรกิจขึ้นมาได้เองจริงๆ อันนี้ก็ถือว่า “โคตรเฟี้ยว”
อย่างไรก็ดี โดยส่วนตัวผมไม่ค่อยแนะนำใครให้ลาออกจากงานมาลุยงานประจำเลยนะครับ เพราะมันมีความเสี่ยงมาก ที่จะแนะนำคือ ให้เร่ิมสร้างงานที่ 2 อาชีพที่ 3 ธุรกิจที่ 4 เริ่มทำจากเล็กๆ ลองผิดลองถูกในระดับความเสี่ยงที่พอรับได้ก่อน แล้วค่อยๆ พัฒนาระบบของกิจการไป สร้างรายได้หลายทางแบบ Multi-Income Stream จนธุรกิจของเราเริ่มเป็น “ทรัพย์สิน” และเมื่อรายได้ทางที่ 2, 3 และ 4 ของเราเริ่มใกล้เคียงกับงานประจำ ค่อยพิจารณากันอีกที
ทั้งนี้การสร้างธุรกิจของตัวเอง (งานฟรีแลนซ์ต่างๆ นี่ก็ใช่นะ) กับโจทย์โลกการเงินในยุคปัจจุบัน อาจไม่ได้มองแค่เรื่องอยากรวยเร็ว แต่ผมมองเรื่อง “ความมั่นคง” ทางรายได้ ที่ในยุคนี้มีความเสี่ยงจากแต่ก่อนมาก การมีงาน 2,3,4 หรือมีธุรกิจตัวเองไว้ควบคู่ไปด้วย เป็นตัวช่วยทำให้เราสามารถ “ควบคุม” อนาคตทางการเงินของตัวเองได้ (เหมือนที่โรเบิร์ตชอบพูด Control Your Financial Future) โดยไม่ต้องขึ้นกับคนอื่น เป็นสิ่งที่ “ต้องทำ” (a must) ไม่ใช่ “ควรทำ” อีกต่อไปแล้วครับ
4. เข้าใจเรื่องภาษี
“ภาษี” คือ รายจ่ายที่ใหญ่ที่สุดตัวหนึ่งของชีวิต ยิ่งคุณมีรายได้เยอะ มีทรัพย์สินเยอะ คุณจะเข้าใจความหมายของประโยคนี้ได้ดี
***แต่ช้าก่อน ผมไม่ได้บอกหรือพูดว่า คนรายได้น้อยไม่ได้เสียภาษีนะ (อย่าคิดไปเองสิ) เพราะคนเราเสียภาษีกันทุกคน อย่างน้อยก็ภาษีจากการบริโภค อย่างภาษีมูลค่าเพิ่ม
ไม่ว่าอย่างไร คนเราไม่ควรหลีกเลี่ยงหรือหนีภาษี เพราะนั่นเป็นเรื่องผิดกฎหมาย สิ่งที่เราควรทำ คือ การศึกษาข้อกำหนดและกฎหมายภาษี ที่เกี่ยวข้องกับ “ตัวเรา” เพื่อเราสามารถวางแผนภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย (ย้ำ! ถูกต้องตามกฎหมาย)
หลายคนอ่านหนังสือพ่อรวยสอนลูก แล้วตีความไปว่า ควรเปิดบริษัท เพราะประหยัดภาษีกว่า อันนี้บอกเลยว่าไม่แน่นะครับ ที่ดีคือ เราควรคำนวณภาษีให้เป็น แล้ววางแผนดีกว่าไปยึดอะไรเป็นหลักตายตัวแบบนั้น
ข้อนี้ไม่มีอะไรจะแนะนำมากไปกว่า จงเรียนรู้และเข้าใจภาษีที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา (ฐานบริโภค ฐานรายได้ และฐานทรัพย์สิน) คิดคำนวณภาษีและวางแผนภาษีตัวเองให้เป็น ไม่ว่าจะคุณจะทำงานประจำ ทำงานฟรีแลนซ์ หรือเป็นเจ้าของกิจการ เพื่อให้สามารถประหยัดภาษีและลดรายจ่ายได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เพราะมันคือ “สิทธิ” ที่คุณพึงได้ครับ
5 คนรวยสร้างเงินได้เอง
ต้นฉบับภาษาอังกฤษใช้คำว่า “The Rich Invent Money” ผมก็ไม่กล้าแปล Invent ว่า “ประดิษฐ์” (ออกแนวพิมพ์แบงค์) กลัวมีปัญหา 555 จะให้ใช้คำว่า “คิดค้น” ก็ออกแนววิทยาศาสตร์ไป หัวใจสำคัญของบทเรียนนี้ ก็คือ คนรวยสร้างเงินจาก “ไอเดีย” ได้นั่นเอง
โดยโรเบิร์ตเน้นในหนังสือว่า คนที่จะสร้างเนื้อสร้างตัวให้มั่งคั่ง ต้องรู้จักวิธีแปลง “ไอเดีย” ให้เป็น “ธุรกิจ” ที่ทำเงินให้ตัวเอง โดยใช้เงินตัวเองไม่มาก หรือไม่ใช้เงินตัวเองเลย (ในหนังสือใช้คำว่า “พลังทวี” หรือ Leverage)
ซึ่งการใช้ Leverage ที่ว่านี้ ก็มีอยู่หลากหลายวิธี ตั้งแต่วิธีดั่งเดิมอย่างการใช้สินเชื่อสถาบันการเงิน การเข้าหุ้นส่วน การหยิบยืมคนใกล้ตัว (พ่อแม่ลงทุนให้) การใช้สิทธิส่งเสริมจากภาครัฐ (Grant) กลุ่มทุนร่วมลงทุน (Venture Capital) การระดุมทุนผ่านประชาชนอย่าง Crowd Funding และปัจจุบันที่ไปถึงการใช้พลังทวีจากเหรียญดิจิทัลแล้ว
เข้าสู่ปี 2021 การ Leverage อาจไม่ใช่การใช้พลังทวีจากเงินทุนอย่างเดียวก็ได้ เพราะบางครั้งธุรกิจก็สามารถขยายกิจการด้วยกำไรของตัวเอง ดังนั้น เครื่องมืออีกตัวที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต ก็คือ พลังทวีจากการตลาด (Marketing Leverage) อย่างโซเชียลมีเดีย และเครื่องมือออนไลน์อื่นๆ อีกมาย
ทั้งหมดทั้งมวลเริ่มจากจุดเริ่มต้นในข้อที่ 3 ก็คือ เริ่มสร้างงาน อาชีพ หรือธุรกิจ เพื่อเป็นแหล่งรายได้ที่ 2, 3 และ 4 แล้วค่อยๆต่อยอดไป คิด-ลงมือทำ-เรียนรู้ เพื่อพัฒนาเครื่องผลิตเงิน (ธุรกิจ) ของเรา ให้เติบโตและสามารถเลี้ยงดูค่าใช้จ่ายเราได้ โดยพักจากการทำงานได้บ้าง (มีอิสรภาพการเงิน)
6. คนรวยทำงานเพื่อเรียนรู้
ข้อนี้คนก็ตีความและเข้าใจผิดไปเยอะนะครับ ทำงานเพื่อ “เรียนรู้” ในที่นี้ ไม่ได้หมายความ เรียนเยอะเรียนแยะ เรียนกันจัง แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำให้ “ทรัพย์สิน” เติบโต จริงอยู่ว่าการพัฒนาตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ต้องมี “ทิศทาง” ที่ถูกต้องด้วย
ถ้าคุณเป็นนักลงทุน สิ่งที่คุณจะต้องเรียนรู้ ก็คือ หลักและวิธีการลงทุน ความเข้าใจในทรัพย์สินที่เลือกลงทุน ธรรมชาติของตลาด
แต่ถ้าคุณทำธุรกิจ ทักษะที่จำเป็นต่อความสำเร็จ (สังเกตใช้คำว่า “ทักษะ” เพราะมากกว่าแค่ “รู้” แต่ต้อง “ทำได้”) ก็คือ 1) การขายและการตลาด 2) การบริหารกระแสเงินสด 3) การจัดการระบบ (Operation) และ 4) การบริหารบุคลากร
ทุกครั้งที่จะศึกษาอะไร ตอบคำถามตัวเองเพื่อเช็คทิศทางก็ดีครับ ว่าสิ่งที่เราเรียนจะ “ช่วยให้ธุรกิจและการลงทุนของเราดีขึ้นได้อย่างไร?” จะได้โฟกัสกับการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ก่อน และไม่ทำให้การเรียนรู้สะเปะสะปะเกินไป
นอกจากสิ่งที่เรียนรู้แล้ว วิธีการเรียนรู้ (How to Learn) ก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก โรเบิร์ตจะเน้นเรื่องของการ “ลงมือทำ” เรียนรู้จากประสบการณ์จริง การแก้ปัญหาจริงเป็นสำคัญ และนำไปสู่ทัศนคติต่อการเรียนรู้ที่ยอดเยี่ยม ที่ผมเองก็ยังคงใช้มาจนถึงปัจจุบัน นั่นคือ “เมื่อเจอปัญหา จงรู้ไว้เลยว่า นั่นคือโอกาสที่จะช่วยให้เราเก่งขึ้น”
ปัญหา --> แก้ปัญหา --> ทักษะในด้านนั้นที่สูงขึ้น
ปัญหาการเงิน ---> ลงมือแก้ปัญหา ---> ความฉลาดทางการเงินที่สูงขึ้น ---> จัดการเรื่องเงินได้ดีขึ้น
และหมุนเป็นวงจรเรียนรู้ไปไม่มีวันจบสิ้น เหมือนที่วันนี้ผ่านมา 20 ปีเศษแล้ว ผมก็ยังต้องเรียนรู้เรื่องทรัพย์สินใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่บนโลกเราเสมอ (เด็กรุ่นใหม่เก่งกันจังวุ้ย)
หวังว่าบทสรุปจากการนั่งอ่านหนังสือ Rich Dad Poor Dad หรือพ่อรวยสอนลูกอีกรอบ และเล่ามุมมองกับโลกที่หมุนไปเร็วเหลือเกินในฐานะผู้แปล จะเป็นประโยชน์กับทุกท่านบ้าง ไม่มากก็น้อย
#TheMoneyCoachTH
ความมั่นคง 在 สมองไหล Facebook 的精選貼文
ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอาชีพไหน
เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือ พนักงานเงินเดือน
.
มันก็มีความเสี่ยงเหมือนกันทั้งนั้น
คำว่า “ความมั่นคง” มันไม่มีอีกต่อไปแล้ว
.
อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกเสี่ยงแบบไหน
.
ความเสี่ยงที่คุณบริหารได้เอง
หรือ ความเสี่ยงที่คนอื่นกำหนดให้ชีวิตคุณ
.
.
เขียนโดย สมองไหล
ความมั่นคง 在 Trainer Nalisa Youtube 的最佳貼文
เลือกให้ชีวิตพบเจอแต่ "ความรัก"
กลับมาดูใจตัวเองก่อน เรียนฟรี ที่ - https://bit.ly/2MyrkYe
?มาเป็นอีกหนึ่งใน 20,000 กว่าราย
ที่มีชีวิตสวนกระแส... ใครๆ เขาแย่ แต่เรากลับดี
Human Development Process
with Quantum Based Technique
ของคนที่หิวการเติบโต
และมุ่งมั่นกับการพัฒนาตนเอง
เป็นหลักสูตรพัฒนาศักยภาพมนุษย์
ที่มีช่วงอายุคนเรียนกว้างที่สุด
ตั้งแต่วัยรุ่น ยันวัยลุง และวัยเกษียณ
#เหตุผล #ชีวิตคู่ #สบายใจ
#รัก #เลือก #อนาคต #5เหตุผล
#ความคิด #ความรู้สึก #ไม่รัก
#ความจริง #ความรัก #จริงใจ
#ครอบครัว #ความสัมพันธ์
#ความมั่นคง #พัฒนาตัวเอง

ความมั่นคง 在 Trainer Nalisa Youtube 的最讚貼文
สำหรับผู้หญิงที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัว และปลอดภัย ในการปรึกษาทักษะบนเตียง
ในแบบที่ผู้ชายของคุณต้องการ กับทางครูกิ๊บและทีมงาน ทักเพื่อขอเข้ากลุ่ม
"สะบัดลาย สไตล์หญิงซี๊ด" กด https://bit.ly/2SMwgZJ หรือ @trainernalisa
ความรัก ความมั่นคง ที่สมบูรณ์แบบ
เกิดขึ้นได้เพราะอะไร ?
ในความรัก ความสัมพันธ์
มันไม่ใช่แค่เรื่อง SEX อย่างเดียว
ที่จะมัดใจ ใครคนหนึ่งไว้ได้
แต่มันคือการ"รวมกัน"
ในคำว่า ครบคุณภาพ อย่างสมดุล
จึงจะทำให้ ความสัมพันธ์นั้นยืนนาน
#Trainernalisa #มัดใจแฟนด้วยเรื่องบนเตียง
___________________________________
ติดตามข่าวสารได้ที่
Facebook : https://www.facebook.com/newerabytrai...
Youtube : https://www.youtube.com/trainernalisa
Instragram : https://www.instagram.com/trainer_nalisa

ความมั่นคง 在 ืNANAKE555 Youtube 的最佳貼文
ความมั่นคงเนี่ย เป็นเรื่องที่หลายคนตามหา
แต่บางที่เราก็ไม่สามารถควบคุมความมั่นคงของตัวเองได้

ความมั่นคง 在 SocialMsociety (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) 的必吃
SocialMsociety (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์), Bangkok, Thailand. 157969 likes · 2210 talking about this · 45029 were here.... ... <看更多>
ความมั่นคง 在 การบริหารจัดการด้านความมั่นคง ความปลอดภัย และอาชีวอนามัย - PTT 的必吃
การบริหารจัดการด้านความมั่นคง ความปลอดภัย และอาชีวอนามัย ของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ... <看更多>
ความมั่นคง 在 'ประยุทธ์' ปลื้มไทยติดอันดับความมั่นคงไซเบอร์โลก แต่ยังใช้คุกคามคน ... 的必吃
... ไทยติดอันดับ 41 ความมั่นคง ทางไซเบอร์โลก คุยโวสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่ยังโดยแฉนับรัฐยังใช้เครื่องมือไซเบอร์คุกคามประชาชนต่อเนื่องสมัครสมาชิกเพ. ... <看更多>