【外國居民訂車票、網路購物、醫療掛號不再卡卡!】
#新式外來居留人口統一證號 110年1月
正!式!上!路!
外國朋友歷年來時常透過歐洲在台商會以及美國商會等團體,表達統一證號使用上的不便。
國發會為此與內政部移民署及相關各部會協調多時,
終於將自110年1月2日起,核發載有新式外來人口統一證號的證件👍
新式證號將比照國人的身分證號,開頭的兩碼編碼將由兩個英文字母,改成「與台灣人一樣的」一個英文字母、一個數字。
不但降低各種困擾,並增加對我國的歸屬感,外國朋友也能夠順暢地進行各類 #網路購物、 #訂票、 #醫療掛號 等與日常生活息息相關的各項服務🙌
為使外國人更融入台灣生活,國發會過去建置外僑居留證使用問題的解決平臺,也修正相關法規使外僑居留證與外國護照有同等的法律效力等,解決外僑居留證各類問題,近2年再經多次會議,爭取經費及協調辦理。
國發會亦將持續推動 #雙語國家政策 及 #攬才留才政策 等
加強打造友善環境,提升外國朋友在台歸屬感,營造我國成為全球人才匯聚中心!
📍Introduction to the New UI No. of Foreign Nationals
➪ https://youtu.be/-6qCkzeV8AM
#新式外來人口統一證號 #友善外國人生活 #攬才
--------------------------------------
【No more impediments for foreign residents using an ARC to book transport, shop online, or register to see a doctor!】
January 2021 brings the official launch of a new UI No. format for foreign residents!
In the past, foreign friends have often been vexed by inconveniences stemming from the UI No. format of ARCs, as has been communicated to the government through the ECCT, AmCham, and other organizations. The NDC has held multiple consultations with the National Immigration Agency and other relevant agencies on achieving a solution to this problem. Now, at last, from January 2, 2021, the problem will be solved by the issuance of a new UI No. format for resident permits!
The new UI No. format matches the national ID card number format. Instead of beginning with two English letters, it starts with a single English letter followed by a nine-digit number, the same as citizen ID cards. Apart from removing all kinds of difficulties for foreign residents, it will also give them a stronger sense of belonging in Taiwan. The new UI No. can be used without a hitch to utilize all kinds of everyday services such as booking seats on public transport, buying things online, making medical appointments, and more.
The NDC has made a strong commitment to helping foreigners fit into life in Taiwan. Besides setting up a platform for addressing problems relating to the use of ARCs, it has also orchestrated the amendment of various regulations to provide ARCs with the same legal validity as foreign passports for the purpose of identifying the holder. The NDC has also held numerous meetings over the past two years to secure funding and coordinate solutions to problems of ARC utility.
The NDC will continue promoting the bilingual nation policy along with measures for talent recruitment and retention, to create a welcoming environment, give foreign friends a heightened sense of belonging in Taiwan, and make our country a gathering hub for talent from around the world!
#New UI No. format #Foreigner-friendly #Talent recruitment
legal validity 在 sittikorn saksang Facebook 的最讚貼文
การหลอมรวมปรัชญากฎหมายธรรมชาติเข้ากับปฏิฐานนิยมทางกฎหมายตามแนวคิดของ กุสตาฟ ร้าดบรุค: นิติปรัชญาสายที่ 3
ที่มา สรุปมาจากบทความของ วรเจตน์ ภาคีรัตน์ “กุสตาฟ ร้าดบรุคกับนิติปรัชญาสายที่สาม” วารสารนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปีที่ 32 ฉบับที่ 2 มิถุนายน 2545 หน้า 453-468
กุสตาฟ ร้าดบรุค (ค.ศ.1879 – 1949) นักปรัชญากฎหมายชาวเป็นชาวเยอรมนี ได้แนวความคิดนิติปรัชญาสายที่ 3 ขึ้นมาโดยการหลอมรวมแนวความคิดของสำนักกฎหมายธรรมชาติและสำนักกฎหมายปฏิฐานนิยมเข้าด้วยกัน ดังนี้
1. ความคิดเบื้องต้นของกุสตาฟ ร้าดบรุค
กุสตาฟ ร้าดบรุค เริ่มต้นความคิดของเขาจากรากฐานของทฤษฎีความรู้ที่ อิมมานูเอล คานท์ วางไว้ คือ การแยกโลกของ “ความเป็น” ซึ่งเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ทางความเป็นจริงกับโลกของ “ความควรจะต้องเป็น” ซึ่งเป็นโลกของคุณค่าต่างๆ ออกจากกันอย่างเด็ดขาดก็ตาม แต่ในการอธิบายความหมายของกฎหมาย ร้าดบรุค ไม่ได้จำกัดกรอบอยู่เฉพาะแต่การอธิบายกฎหมายในแง่ของ “ความเป็น” เท่านั้น แต่ยังอภิปรายไปถึงคุณค่าหรือมโนคติแห่งกฎหมายด้วย แนวทางการอธิบายกฎหมายของ ร้าดบรุค จึงแตกต่างจาก ฮันส์ เคลเซ่น ในสาระสำคัญ ทั้งๆ ที่ยอดนักนิติศาสตร์ของโลกทั้ง 2 คนนี้จัดว่าเป็นพวกคานท์ ใหม่เหมือนกัน เคลเซ่น ตัดการอภิปรายคุณค่าต่างๆ ออกไปจากวิชานิติศาสตร์อย่างสิ้นเชิงและมุ่งอธิบายกฎหมายเฉพาะในแง่รูปแบบ และลำดับชั้นของกฎหมายเท่านั้น เนื่องจาก เคลเซ่น เห็นว่าเรื่องของคุณค่าต่างๆ เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้เหตุผลอย่างเป็นศาสตร์ได้ วิชานิติศาสตร์จึงต้องเป็นวิชาการที่พรรณนาและอธิบายกฎหมายที่เป็นอยู่จริงเท่านั้น ไม่ใช่กฎหมายที่ควรจะต้องเป็น ในขณะที่ ร้าด บรุค พยายามที่จะเชื่อมโยงคุณค่าต่างๆ กับการอภิปรายในทางนิติศาสตร์ “กฎหมาย” ในทรรศนะของ ร้าดบรุค จึงไม่ใช่ “ข้อความคิดที่ว่างเปล่าจากคุณค่า” ทำนองเดียวกับวัตถุต่างๆ ในโลกของปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ศาสตร์เฉพาะสาขาต่างๆ มุ่งศึกษาค้นคว้าและอธิบาย แต่ในขณะเดียวกัน “กฎหมาย” ก็ไม่ใช่ “ ข้อความคิดในทางคุณค่า” หรือเป็นสิ่งเดียวกับข้อความคิดในทางคุณค่า (ความยุติธรรม) ซึ่งเป็นสิ่งที่วิชาปรัชญามุ่งศึกษาค้นคว้า สำหรับ ร้าดบรุค แล้ว “กฎหมายเป็นข้อความคิดทางวัฒนธรรม” กล่าวคือ เป็นข้อความคิดของโลกแห่งปรากฏการณ์หรือโลกแห่งความเป็นที่อ้างอิงเกาะเกี่ยวกันคุณค่า กล่าวอีกนัยหนึ่ง “กฎหมายคือความเป็นจริงที่เชื่อมโยงคุณค่า” เป็นข้อความคิดที่มีความหมายในการรับใช้ความถูกต้อง ความยุติธรรม ข้อความคิดว่าด้วยกฎหมายจึงเป็นข้อความคิดที่มุ่งตรงไปหามโนคติแห่งกฎหมาย (ความยุติธรรม) ไม่ใช่สิ่งที่อยู่โดดเดี่ยวขาดความเชื่อมโยงกับคุณค่าใดๆ
ในแง่ของศาสตร์ต่าง ๆ ที่ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมาย ร้าดบรุค แยกพิจารณาออกเป็น 3 ส่วน คือ วิชาสังคมวิทยากฎหมาย วิชานิติปรัชญาและวิชานิติศาสตร์โดยแท้ ทั้งนี้ตามรากฐานความคิดที่กล่าวมาข้างต้นสามารถอธิบายได้ดังนี้
1) วิชาสังคมวิทยากฎหมาย เป็นวิชาการที่ศึกษาและพรรณากฎหมายในฐานะที่กฎหมายเป็นปรากฏการณ์ของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม (โลกแห่งความเป็นจริง)
2) วิชานิติปรัชญา เป็นวิชาการที่มุ่งศึกษากฎหมายในแง่ของคุณค่า (โลกแห่งความควรจะต้องเป็น) กล่าวคือมุ่งศึกษาแสวงหากฎหมายที่ควรจะเป็น
3) วิชานิติศาสตร์โดยแท้ (วิชานิติศาสตร์ในความหมายอย่างแคบ) เป็นคำสอนทั้งหลายทั้งปวงเกี่ยวกับกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมือง ซึ่งมีความเชื่อมโยงหรืออ้างอิงถึงคุณค่าหรือมโนคติแห่งกฎหมาย วิชานิติศาสตร์โดยแท้จึงเป็นวิชาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างวิชาการที่ศึกษากฎหมายในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์จริงในโลกของความเป็นจริงกับวิชาการที่มุ่งแสวงหากฎหมายที่ควรจะเป็นในแง่ของวัตถุที่ศึกษาวิชานิติศาสตร์โดยแท้มุ่งศึกษา “กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมือง” ซึ่งหมายถึงกฎเกณฑ์ที่ได้รับการตราขึ้นตามกระบวนการบัญญัติกฎหมายหรือกฎเกณฑ์ที่มีอยู่ในความเป็นจริงและมีผลใช้บังคับในสังคม ในแง่ของ “วิธีการศึกษา” วิชานิติศาสตร์โดยแท้มีวิธีการใช้และการตีความกฎหมายที่มีเป้าหมายในการค้นหาความหมายของบทกฎหมายที่มุ่งไปยังคุณค่าหรือมโนคติแห่งกฎหมายอาจเรียกว่า “การค้นหาเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย”
2.กุสตาฟ ร้าดบรุค: นิติปรัชญาสายที่ 3
เมื่อพิจารณาข้อความคิดว่าด้วย “กฎหมาย” ของ ร้าดบรุค แล้ว ศาสตราจารย์ ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ได้วิเคราะห์ว่าไม่อาจที่จะจัดให้ ร้าดบรุค สังกัดอยู่ในสำนักกฎหมายบ้านเมืองหรือสำนักกฎหมายธรรมชาติได้ ตามทรรศนะของสำนักกฎหมายบ้านเมือง กฎหมายคือกฎเกณฑ์หรือบรรทัดฐานที่ได้รับการกำหนดโดยถูกต้องตามรูปแบบและวิธีการ ทั้งนี้โดยมิพักต้องคำนึงว่ากฎหมายที่ได้รับการกำหนดขึ้นนั้นจะมีเนื้อหาอย่างไร สำหรับ ร้าดบรุค แล้วบรรทัดฐานใดบรรทัดฐานหนึ่งจะได้ชื่อว่าเป็นกฎหมายก็ต่อเมื่อบรรทัดฐานดังกล่าวนั้นเป็นบรรทัดฐานที่มุ่งไปยังมโนคติแห่งกฎหมาย นั่นคือ “ความยุติธรรม” ไม่ใช่บรรทัดฐานที่มีเนื้อหาอย่างไรก็ได้ แม้กระนั้นเราก็ไม่อาจกล่าวได้ว่าทรรศนะดังกล่าวของ ร้าดบรุค เป็นทรรศนะของนักคิดในสำนักกฎหมายธรรมชาติ เพราะ “กฎหมาย” ในทรรศนะของ ร้าดบรุค ไม่ใช่สิ่งเดียวกับความยุติธรรมซึ่งถือเป็นคุณค่าอันสัมบูรณ์ บรรทัดฐานที่มุ่งตรงไปยังมโนคติแห่งความถูกต้องเป็นธรรม แม้ว่าจะไม่สอดคล้องกับมโนคติดังกล่าวอย่างเต็มที่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายธรรมชาติคลาสสิค) ที่เห็นว่าบรรทัดฐานใดบรรทัดฐานหนึ่งจะมีค่าบังคับเป็นกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อบรรทัดฐานนั้นสอดคล้องกับความยุติธรรมอย่างสมบูรณ์
ร้าดบรุค สร้าง “นิติปรัชญาสายที่ 3” คือ แนวความคิดเกี่ยวกับกฎหมายที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความคิดแบบสำนักกฎหมายบ้านเมืองและความคิดแบบสำนักกฎหมายธรรมชาติจากการประสานคุณค่า อยู่ 2 ประการระหว่างความยติธรรมกับหลักความมั่นคงแห่งกฎหมาย ดังนี้
2.1 ความยุติธรรม
ความยุติธรรม (Justice) ซึ่งแสดงออกอย่างสมบูรณ์ในรูปของหลักความเสมอภาค อย่างไรก็ตาม โดยเหตุที่เราไม่อาจหา “มาตร” ในการชี้ว่าอย่างไรเสมอภาคหรือไม่เสมอภาคได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับความยุติธรรม เราจำเป็นต้องใช้หลักเกณฑ์ของความยุติธรรมบนพื้นฐานของประโยชน์สาธารณะและการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้เกิดดุลยภาพกันในสังคมให้มีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ (Purposiveness) ที่จะต้องพิจารณา “คุณค่าส่วนบุคคล” “คุณค่าส่วนรวม” (ประโยชน์สาธารณะ) และ “คุณค่าของงาน” มาเป็นเครื่องช่วยในการกำหนดเนื้อหาของความยุติธรรมนั้น ซึ่งการกำหนดการชั่งน้ำหนักของคุณค่าต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ได้อาศัยความรู้ทางวิชาการแต่อาศัยการยอมรับในทางการเมืองและจริยธรรม แต่อย่างไรก็ตามความยุติธรรมที่เป็นความเชื่อและความศรัทธามีลักษณะสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปตาม “ประวัติศาสตร์” และ “สังคม” ซึ่งความไม่แน่นอนของคุณค่าที่ได้กล่าว ข้างต้นจะได้รับการขจัดไปโดยหลักความมั่นคงแห่งกฎหมาย
2.2 หลักความมั่นคงแห่งกฎหมาย
หลักความมั่นคงแห่งกฎหมาย (Legal Certainty) อันเป็นหลักการที่มีคุณค่าเสมอกันกับหลักการความยุติธรรม เป็นการตัดสินใจที่ผูกพันคนในสังคมและชี้ว่าสิทธิหน้าที่ต่างๆ ดำรงอยู่อย่างไร หากพิจารณาแนวคิดในทางนิติปรัชญาแล้วจะพบว่าสำนักกฎหมายบ้านเมืองถือเอาหลักความมั่นคงเด็ดขาดแห่งกฎหมายอันเกิดจากการกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ในทางกฎหมายเป็นหลักการเดียวที่มีคุณค่าสูงสุด ในกฎหมายนั้นจะไม่ยุติธรรม “กฎหมายนั้นก็มีค่าบังคับ” (Legal Validity) ที่บุคคลต้องปฏิบัติตาม ในขณะที่ “สำนักกฎหมายธรรมชาติ” (Natural Law School) “เชื่อถือศรัทธาต่อหลักความยุติธรรมไม่เปลี่ยนแปลง” หากกฎหมายใดขัดกับหลักความยุติธรรมแล้วบุคคลหามีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวไม่
3.ข้อวิจารณ์แนวคิดกุสตาฟ ร้าดบรุค
ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ แม้ว่า ร้าดบรุค จะคำนึงถึงคุณค่าของหลักความมั่นคงแห่งกฎหมายและหลักความยุติธรรม แต่หากเกิดความขัดแย้งกันขึ้นระหว่างหลักการทั้ง 2 ประการ คือ ความขัดแย้งระหว่างความยุติธรรมกับความมั่นคงแห่งกฎหมาย กฎหมายที่ไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม ร้าดบรุค จะเลือกเดินทางใด ในช่วงก่อนที่รัฐบาลนาซีจะขึ้นเถลิงอำนาจในเยอรมัน อันเป็นช่วงที่ ร้าดบรุค ยังอยู่ในวัยหนุ่มนั้น ร้าดบรุค ให้ความสำคัญกับ “หลักความมั่นคงแห่งกฎหมาย” อย่างมาก แม้กระนั้นก็เห็นได้จากงานเขียนในช่วงนั้น (ค.ศ.1914) ว่า ร้าดบรุค ไม่ได้ยอมรับค่าบังคับของกฎหมายที่เห็นประจักษ์ชัดว่าไม่ถูกต้อง ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จากประสบการณ์อันขมขื่นที่เกิดขึ้นในยุคที่รัฐบาลนาซีครองอำนาจ หลังจากฮิตเลอร์และพรรคนาซีได้มีอำนาจปกครองเยอรมันได้ทำหนังสือลงวันที่ 8 พฤษภาคม ค.ศ. 1933 ปลด กุสต๊าฟ ร้าบรุค จากตำแหน่งศาตราจารย์ มหาวิทยาลัยไฮเดนเบริ์ก ภายใต้กฎหมายที่ตราโดยรัฐบาลฮิตเลอร์ (รัฐบัญญัติว่าด้วยการรื้อฟื้นจารีตธรรมเนียมแห่งอาชีพข้ารัฐการ) โดยไม่ปรากฏเหตุผลของการปลดออกว่าเหตุใดถึงปลดออก หลังจากเขาถูกปลดได้มีการยึดค้น เอกสาร จดหมาย หนังสือและทรัพย์สินอื่นๆไป และยังถูกเพิกถอนหนังสือการเดินทางไปด้วยทำให้ ร้าดบรุค หันมาให้น้ำหนักกับ “หลักความยุติธรรม” มากขึ้น แม้กระนั้นก็ต้องเข้าใจว่า ร้าดบรุค ไม่ได้ทิ้งความคิด “นิติปรัชญาสายที่ 3” ของตนและหันไปยอมรับนับถือข้อความคิดว่าด้วยกฎหมาย “สำนักกฎหมายธรรมชาติ” (Natural Law School) แทน ร้าดบรุค ไม่เคยยอมนำหลักการว่าด้วยความมั่นคงแห่งกฎหมายอันเป็น “มโนคติทางกฎหมาย” ที่สำคัญไป “เซ่นสังเวย” กฎหมายธรรมชาติที่ยังคงเต็มไปด้วยความคลุมเครือในแง่เนื้อหาแต่อย่างใด
เมื่อพิจารณาศึกษาถึงหลักเกณฑ์ในการพิจารณาว่า “บรรทัดฐานใดจะมีค่าบังคับเป็นกฎหมายหรือไม่” นั้น ร้าดบรุค อธิบายถึง คุณค่าของหลักความมั่นคงแห่งกฎหมายและหลักความยุติธรรม จะเป็นตัวกำหนดบรรทัดฐานใดจะมีค่าบังคับเป็นกฎหมายที่เป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรม จะพบว่ามาจากความขัดแย้งกันขึ้น คือ ความขัดแย้งระหว่างความยุติธรรมกับความมั่นคงแห่งกฎหมาย น่าจะต้องแก้ไขคลี่คลายโดยการให้กฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในบ้านเมือง อันเป็นกฎหมายที่ได้รับการตราขึ้นตามกฎเกณฑ์และโดยมีอำนาจนั้นอยู่ในฐานะเหนือกว่า ถึงแม้ว่ากฎหมายดังกล่าวนั้นจะมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องและไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ก็ตาม เว้นเสียแต่ว่าความขัดแย้งระหว่างกฎหมายที่ตราขึ้นกับความยุติธรรมอยู่ในระดับที่ไม่อาจทนทานได้อีกต่อไป หากเป็นดังนั้นกฎหมายที่ตราขึ้น ซึ่งเป็นกฎหมายที่ไม่ถูกต้องไม่เป็นธรรม จะต้องจำนนต่อความยุติธรรม การขีดเส้นแบ่งอย่างชัดเจนระหว่างกฎเกณฑ์ที่ตราขึ้นและเป็นกฎเกณฑ์ที่ “อยุติธรรม” ซึ่งไร้ผลบังคับกับกฎหมายที่แม้จะมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องก็ยังถือว่าเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับได้ เป็นสิ่งที่ไม่อาจกระทำได้แม้กระนั้นก็ตามเราอาจหาเส้นแบ่งในลักษณะอื่นได้อย่างชัดเจน ที่ใดก็ตามที่ไม่มีความพยายามในการมุ่งแสวงหาความยุติธรรมแม้แต่น้อย ที่ใดก็ตามที่ไม่แยแสใยดีหลักความเสมอภาพอันเป็นแกนของความยุติธรรมในการตรากฎหมาย กฎหมายที่ได้รับการตราขึ้น ณ ที่แห่งนั้นย่อมไม่เป็นเพียงแค่กฎหมายที่มีเนื้อหาไม่ถูกต้องเท่านั้น แต่กฎเกณฑ์ดังกล่าวนั้นไม่มีค่าเป็นกฎหมายเลยแม้แต่น้อย เพราะเราไม่สามารถที่จะให้นิยามความหมายของกฎหมายไม่ว่าจะเป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นหรือไม่ในลักษณะอื่นได้ นอกจากจะให้นิยามว่า “เป็นระเบียบและกฎเกณฑ์ที่โดยเนื้อแท้แล้วได้รับการกำหนดขึ้นเพื่อรับใช้ความอยุติธรรม”
หลักการที่ ร้าดบรุค ให้ไว้ดังกล่าวนั้น ต่อมาเป็นที่รู้จักกันในนาม “สูตรของร้าดบรุค” (Radbruchsche, Formel, Radbruch Formula) เกณฑ์ดังกล่าวที่ ร้าดบรุค ได้ให้ไว้นั้น ในเบื้องแรกได้รับความสนใจอย่างมากในทางวิชาการ ต่อมาศาลรัฐธรรมนูญแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันได้ใช้เป็น กฎเกณฑ์ในการวินิจฉัยความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของรัฐบัญญัติ และในช่วงที่ประเทศเยอรมันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันใน ค.ศ.1990 สูตรของร้าดบรุค ก็ได้รับการพูดถึงอย่างมากและเป็นแนวทางที่ศาลนำไปใช้ในการตัดสินคดีในบริบทที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมของรัฐที่เกิดขึ้นในเยอรมันตะวันออกช่วงก่อนรวมประเทศด้วย
สรุป ปรัชญากฎหมายปฏิฐานนิยมหรือปรัชญากฎหมายบ้านเมือง ถือเป็นปรัชญากฎหมายที่ทรงอิทธิพลต่อการปกครองประเทศทุกระบอบการปกครองไม่ว่าจะเป็นการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การปกครองระบอบเผด็จการและการปกครองระบอบประชาธิปไตย ถือเอาการปกครองโดยกฎหมาย ถือกฎหมายเป็นใหญ่ในการปกครองประเทศ ซึ่งก็คือ กฎหมายบ้านเองที่ออกมีอำนาจผู้ปกครองที่เรียกว่า “รัฏฐาธิปัตย์” ซึ่งมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ “รัฏฐาธิปัตย์ที่ได้อำนาจมาจากความยินยอมของประชาชน” กับ “รัฏฐาธิปัตย์ที่ได้อำนาจมากการปฏิวัติหรือรัฐประหารยึดอำนาจปกครอง” ต่างก็ใช้ปรัชญากฎหมายปฏิฐานนิยมในการตรากฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามในสังคมประเทศที่ใช้การปกครองระอบประชาธิปไตยต่างให้ความสนใจหรือมุ่งเน้นนำปรัชญาปฏิฐานนิยมทางกฎหมายมาหลอมรวมกับปรัชญากฎหมายธรรมชาติ ดังที่ กุสตาฟ ร๊าดบรุค เสนอนิติปรัชญากฎหมายสายที่สาม ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างกฎหมายปฏิฐานนิยมกับกฎหมายธรรมชาติ เกี่ยวกับความยุติธรรมสอดคล้องกับวัตถุแห่งประสงค์และความมั่นคงแห่งนิติฐานะทางกฎหมาย นำมาอธิบายสร้างแนวคิดระหว่างปรัชญากฎหมายกับการปกครองของรัฐและความสงบสุขของประชาชนและการยอมรับคุณค่าแห่งชีวิตของคนในสังคมตามกฎหมายธรรมชาติ ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่าแนวคิดของร๊าดบรุค มีบทบาทและความสำคัญต่อการตรากฎหมายในปัจจุบันเป็นอย่างมาก
legal validity 在 Dr Mohd Daud Bakar - Shariah Minds - Minda Syariah Facebook 的最佳貼文
CryptoCurrency, Shariah and New Economy
I have delivered a lecture on cryptocurrency from the Shariah perspective at IIUM last evening. It was a good and engaging session which lasted for 2 hours. Many thanks to the organising committee (extra ordinary students) and all the participants comprising both students and public.
Although the focus of the talk was on Shariah analysis on cryptography and currency (i.e. cyrptocurrency), I took the liberty and opportunity to enligthen the audience on the evolution of currency in Islamic history and the need to craft a new economy which reduces the role of intermediaries, thus cost reduction.
On the subject of currency, i started by saying that although Islamic perspective has been very hard and bold on the Shariah ruling in dealing with currency to avoid riba ( which requires spot transaction and same amount), it has been soft on the very strcuture of the currency. During the time of the Prophet PBUH and the Rightly Guided Caliphs, the currencies were basically gold and silver printed coins from the Roman empire. Essentially, currency can be in any form that can benefit the society the most.
On Shariah issues, i have embarked on many frequently asked questions such as uncertainty and risk (gharar and khatar), legal tender, intrinsic value of currency, volatality, etc. I have been speaking on these and many similar issues in the past. You may refer to my uploaded video in my FB.
Interestingly, I have purposely brought a new dimension of new face and voice of new economic and financial set up. You may agree or disagree on the validity of cryptocurrencies, but we cant afford to discard a new idea to make the cost of economy and finance cheaper and to make everything faster, smarter and inclusive. Digital economy (and that includes digital currency) will make financial inclusion more real compared - arguably- to the current landscape.
The bigger agenda is not crypocurrency. This is only the catalyst of the beginning of a new economy which is more caring, sharing and more importantly humane. I will leave to the experts and intellengtsia (and hard working students) to break the code of this new economy.
MDB
legal validity 在 Legal Validity - jstor 的相關結果
cases of legal validity. A rule which is not legally valid is not a legal rule at ail. A valid law is a law, an invalid law is not. Similarly a valid rule ... ... <看更多>
legal validity 在 Legal Validity - SpringerLink 的相關結果
This study of legal validity is an expanded and thoroughly revised version of my B.Phil. thesis in philosophy at Oxford University in 1969. ... <看更多>
legal validity 在 Legal Validity - Oxford Scholarship Online 的相關結果
For a law to become a legal law, it has to be legally valid. Similarly, a valid rule is a rule and an invalid rule is not a rule. This chapter discusses the ... ... <看更多>