คุณเป็นคนขี้โมโหไหม
หรือคุณมีคนขี้โมโหอยู่ใกล้ตัวไหม
ความโกรธเป็นธรรมชาติของมนุษย์ แต่กระนั้นก็มีมนุษย์บางคนโกรธบ่อยเป็นพิเศษ หากจะสาวรากที่มาของความโกรธในแต่ละบุคคลก็คงมีต้นตอต่างกันไป มันอาจสะสมมาตั้งแต่ในระดับดีเอ็นเอ อาจเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในวัยเด็กหรือที่สะสมมาตลอดชีวิต อาจเกิดจากนิสัยที่ค่อยๆ สร้างขึ้นจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน, เป็นไปได้มากมาย
นักจิตวิทยาบางรายอธิบายว่า ความโกรธคือการแสดงออกของความเจ็บปวด
เวลาเห็นใครสักคนโกรธ อาจพอสันนิษฐานได้ว่า ลึกๆ เขากำลังมีความเจ็บปวดบางอย่าง หรือถูกกระตุ้นให้นึกถึงความเจ็บปวดในอดีตที่เก็บไว้ในใจ
การระบายความโกรธจึงเป็นรูปธรรมที่ทำให้ 'ผู้โกรธ' ไม่ต้องเจ็บฝ่ายเดียว แต่โยนความเจ็บปวดเข้าใส่ 'ผู้ถูกโกรธ' บ้าง ซึ่งถ้าผู้ถูกโกรธไม่รู้สึกรู้สา เขาก็จะยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก
โดยธรรมชาติแล้ว การแสดงออกถึงความโกรธมักนำไปสู่ความโกรธที่มากขึ้น ตรงนี้ต่างจากความเศร้าเสียใจ เพราะเวลาเศร้า การได้ระบายออกจะช่วยเยียวยา เหมือนเมฆครึ้มแล้วฝนตกลงมา เมฆจาง ฟ้าเปิด ขณะที่ความโกรธเหมือนไฟเผา มันสร้างนิสัยและวงจรทำงานของสมองให้ติดพฤติกรรม 'ขี้โมโห'
มีคำอธิบายว่า ความโกรธจะกีดกันและทำลายความรู้สึกเชิงบวก ว่าง่ายๆ คือ เวลาโกรธมองอะไรก็หงุดหงิดไปหมด คนขี้โมโหจึงกลายเป็นคนขี้หงุดหงิดควบไปด้วย
...
ส่วนความโกรธที่ไม่ได้ระบายออกมาก็แย่ไปอีกแบบ งานวิจัยชี้ว่า ผู้ชายมักระบายความโกรธออกมาซึ่งนำไปสู่ความรุนแรง ส่วนผู้หญิงจะเก็บความโกรธไว้ อาจนำไปสู่อาการซึมเศร้า นี่เขาพูดถึงภาพรวม ซึ่งอาจมีที่มาจากค่านิยมบางอย่างของสังคมที่กำหนดพฤติกรรมที่แตกต่างระหว่างเพศ
เช่นนี้ โกรธจึงเป็นอารมณ์สำคัญที่ต้องใส่ใจ เพราะทุกครั้งที่โกรธนับเป็นโอกาสทำความเข้าใจตัวเอง หากสามารถหยุดตัวเองสักนิด สูดหายใจยาวๆ แล้วถามตัวเองว่า "เรากำลังเจ็บปวดกับเรื่องอะไร" หรือ "เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปกระตุ้นให้เราคิดถึงความเจ็บปวดในอดีตเรื่องไหน" เราอาจเห็นที่มาของความโกรธนั้นมากขึ้นชัดขึ้น
นักบำบัดแนะนำให้รับมือและจัดการความโกรธอย่างสร้างสรรค์ วิธีหนึ่งที่แสดงออกได้และอาจทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้นก็คือ เมื่อโกรธให้เขียนระบายออกมา
ยังมีคำแนะนำอีกสามวิธีจาก จูเลีย แซมมูเอล ผู้เขียนหนังสือ Grief Works
หนึ่ง, ออกกำลังกาย เธอแนะนำว่า ในอารมณ์โกรธ บางคนชอบเล่นกีฬาที่ต้องแข่งขัน จะช่วยระบายพลังเดือดไปลงในเกมกีฬาได้ แต่สำหรับบางคนการวิ่งหรือปั่นจักรยานก็ได้ผล
สอง, หัวเราะ อันนี้อาจดูเพี้ยนๆ แต่คำแนะนำคือฝืนหัวเราะออกมาเลย แล้วร่างกายจะปรับสมดุลให้ดีขึ้นเอง เพราะเราไม่สามารถโกรธไปพร้อมหัวเราะได้ การหัวเราะช่วยหยุดความคิดฟุ้ง ซึ่งเป็นเชื้อของความโกรธ
สาม, หาวิธีสงบจิตใจ เช่น สูดหายใจลึกๆ ให้หัวใจเต้นช้าลง สังเกตลมหายใจตัวเอง ฝึกสมาธิ นี่ก็ต้องใช้ช่วงเวลาหนึ่งในการเปลี่ยนผ่านจากเดือดให้กลายเป็นสงบเย็น
บางครั้งการทำสามสิ่งนี้ในช่วงที่ความโกรธกำลังเดือดอาจไม่ง่าย ฉะนั้น จึงมีคำแนะนำให้ผสมทั้งสามสิ่งนี้ไว้ในชีวิตประจำวันตลอดเวลา ออกกำลังกาย หัวเราะ และฝึกหายใจ อย่างสม่ำเสมอ เราจะเดือดยากขึ้น--เป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
...
คนหนึ่งที่ทุกครั้งที่พบกันแล้วเสียงหัวเราะนำมาตลอดก็คือพี่ตุ้ม-หนุ่มเมืองจันท์ ผมสังเกตว่าพี่ตุ้มมีเสียงหัวเราะเหมือนลมหายใจในชีวิต หัวเราะดัง หัวเราะอร่อย และบ่อยมาก เท่าที่รู้จักกันมายังไม่เคยเห็นพี่ตุ้มโกรธเลยแม้แต่ครั้งเดียว ถ้าจะเห็นความโกรธของพี่ตุ้มก็มักเป็นประเด็นทางสังคมซึ่งมักสะท้อนออกมาเป็นผลงานที่ไตร่ตรองและออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้ว ผมจึงคิดว่าเสียงหัวเราะน่าจะเป็นเคล็ดลับในการเป็นคนอารมณ์ดีของพี่ชายผู้น่ารักคนนี้
เรามักคิดกันว่า คนอารมณ์ดีชอบหัวเราะ แต่อันที่จริงแล้วมันอาจกลับกัน คือคนที่ชอบหัวเราะจะอารมณ์ดี
ผมเองก็ชอบหัวเราะ
และได้เรียนรู้ว่า เมื่อไหร่ที่เราหัวเราะเยาะตัวเองได้ ล้อเลียนตัวเองได้ ยอมรับความโง่ ห่วย ล้มเหลวของตัวเองได้โดยไม่โกรธตัวเองหรือคนอื่น เราจะมีชีวิตที่ผ่อนคลายขึ้นมาก
และขั้นกว่าไปอีกก็คือ หัวเราะให้ความโกรธของตัวเอง
ตั้งสติสักนิด พอเห็นความโกรธที่ไร้สาระแล้วหัวเราะเยาะตัวเองว่า "มึงจะโกรธอะไรขนาดนั้น" เมื่อไหร่ที่ทำแบบนี้ได้ ผมคิดว่าคนขี้โมโหคนเดิมจะจากเราไปแบบไม่มีวันหวนกลับมาอีกเลย
---
ติดตามความรู้และความคิดสนุกๆ เล่าโดย 'นิ้วกลม'
ได้ในช่อง Roundfinger Channel ใน YouTube
https://bit.ly/2YrsHdM (กด subscribe กันไว้ได้เลยครับ)
grief คือ 在 สาระศาสตร์ Facebook 的最讚貼文
#ความเสียใจ คงเป็นเรื่องที่ใครก็ไม่อยากเจอใช่มั้ยครับ และตัวผมเองก็ไม่ชอบความเสียใจเช่นกัน แต่ในเมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ผมเลยอยากทำความเข้าใจมันเลยเสียดีกว่า ( เพราะถ้าเข้าใจอย่างน้อยก็ยังพอรับมือได้มั้ง? ) ด้วยเหตุผลนี้ผมเลยไปเจอทฤษฎีที่น่าสนใจของ #ความเสียใจ ครับ
ทฤษฎีที่ว่านั้นคือ 5 Stages of Grief ( 5 สภาวะของความเสียใจ )
ทฤษฎีนี้มีที่มาจากหนังสือเรื่อง “On Death and Dying” ของ Elsabeth Kubler-Ross ที่พูดถึงภาวะของคนที่กำลังจะตาย หรือรับรู้ว่าตัวเองต้องตายแน่ๆแล้ว โดยคุณหมอ Kubler-Ross ได้นำเสนอ Kübler-Ross Model ซึ่งเป็นกระบวนการของมนุษย์ที่จะจัดการกับความโศกเศร้าและความทุกข์ใจอย่างร้ายแรง
โดยแรกเริ่มนั้นมุ่งเน้นไปที่ผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ไม่มีทางรักษา และกำลังจะเผชิญหน้ากับความตายครับ ต่อมาถูกนำไปใช้อธิบายในวงกว้างมากขึ้น คือไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะผู้ป่วยระยะสุดท้ายแล้ว แต่ขยายไปถึงการใช้ในการอธิบายผู้ที่สูญเสียของรัก คนรัก หรือ ความผิดหวังร้ายแรงในช่วงอารมณ์ที่เปราะบางของชีวิต เช่น การตกงาน, การสูญเสียเสรีภาพ เป็นต้น
ซึ่ง 5 Stages of Grief อธิบายว่าเมื่อคนเราเผชิญความผิดหวัง เผชิญข่าวร้าย ตกอยู่ในความโศกเศร้า จะต้องผ่านช่วงเวลา 5 ช่วง โดยแต่ละช่วงจะใช้เวลาไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับกระบวนการจิตใจของแต่ละคน ช่วงเวลา 5 ช่วงได้แก่
1. Denial (ปฏิเสธ)
ช่วงนี้ คือ ช็อค รับไม่ได้ ปฏิเสธว่าไม่จริง คนที่อยู่ในภาวะนี้ จะพูดประมาณว่า “ไม่จริง” “เรื่องนี้เป็นเรื่องโกหก” “เป็นแค่ข่าวลวง” “กำลังเล่นมุกอยู่ใช่ไหม” ประมาณนี้ครับ
2. Anger (โกรธ)
ช่วงนี้ คือ โกรธ อารมณ์เห็นใครทำอะไรก็ผิดไปหมด คนที่ติดอยู่ในขั้นนี้นั้นน่ากลัวที่สุด เพราะโกรธได้หมด โกรธได้อย่างไม่มีขีดจำกัด โทษได้ทุกคนไม่ว่าจะเป็น เพื่อน ครอบครัว ไม่เว้นแม้แต่ฟ้าดิน หรือพระเจ้า บางคนทำธุรกิจล้มละลายก็จะโทษเศรษฐกิจ โกรธรัฐบาล ไม่เว้นแม้แต่หุ้นส่วน หรือเพื่อนร่วมงาน
3. ฺBargaining (การต่อรอง)
Bargaining จะเป็นการต่อรองกับตัวเอง โดยมักเป็นการต่อรองกับตัวเองในอดีต ในการต่อรองนั้นจะมีลักษณะว่า ในอดีตตนเองนั้นทำผิดไป อยากย้อนกลับไปแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองในอดีต เช่น
“ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะไปทำสิ่งนี้”
“ถ้าตอนนั้นได้ทำแบบนี้ วันนี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“ฉันยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่ฝันร้าย”
“ถ้าวันนั้นฉันตัดสินใจไปตรวจ วันนี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
“ถ้าได้อ่านหนังสือสอบตั้งแต่วันนั้น วันนี้ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
4. Depression (เศร้า)
เมื่อพบความจริงว่าเรานั้นย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือความเศร้าโศกเสียใจ คนที่อยู่ในขั้นนี้จะมีอาการซึมเศร้า หมดแรง มองโลกในแง่ลบ เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ อยากตาย ความเศร้าและความว่างเปล่าจะแทรกซึมอยู่ในอณูของความคิด อย่างไรก็ตาม ระยะเศร้านี้ไม่ได้หมายความว่าคนนั้นเป็นโรคซึมเศร้า เป็นเพียงอาการเศร้าเพราะจิตใจตอบสนองต่อการสูญเสีย และเป็นกระบวนการปกติที่จะเกิดขึ้นในการเยียวยารักษาจิตใจ อย่างไรก็ตามหากคนนั้นไม่สามารถหลุดออกจากช่วงนี้เป็นเวลานานกว่าคนปกติทั่วไป แสดงว่ากระบวนการทางจิตใจเริ่มมีปัญหา หากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปก็อาจเป็นโรคทางจิตเวชได้
5. Acceptance (ยอมรับ)
ระยะนี้เป็นระยะที่เราสามารถยอมรับสิ่งเลวร้ายนั้นๆได้แล้ว สามารถยอมรับความจริง พร้อมที่จะเผชิญสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามระยะนี้ไม่ได้หมายความเรา “โอเค” กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่หมายความว่าเราสามารถยอมรับสิ่งร้ายๆที่เกิดขึ้นนั้นได้แล้ว
พอผมได้รู้ 5 Stages of Grief แล้วลองสังเกตุตัวเองในช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้เข้าใจ #เจ้าความเสียใจ นี้มากขึ้น เข้าใจว่าทุกข์ก็เหมือนความสุขที่มีวงจร มีระยะเวลาของมัน ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ อารมณ์เหล่านั้นก็ไม่ได้อยู่กับเราตลอดไปและวงจรเหล่านี้ก็เกิดขึ้นซ้ำๆได้เสมอ แต่ในเมื่อเข้าใจวงจรของมันแล้วจะกลัวไปอีกทำไมจริงมั้ยครับ ^^
แหล่งที่มา https://psychcentral.com/lib/the-5-stages-of-loss-and-grief/