最近 #Apple 同 #Facebook 之間鬧翻嘅消息引起全城熱話,
究竟 iPhone iOS 14.5 嘅私隱政策...
同 Facebook 經營模式嘅生意利潤之間嘅衝突,
對其他行業嘅生意老闆帶來點樣嘅啟示?
Click 呢度睇完整版:https://youtu.be/92QmG7Cw0BY
#蘋果 #iPhone #iOS #IOS14 #privacy #business #profit #facebook #advertising #strategy #success #BCM #briancha
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過643的網紅Dickson Chai,也在其Youtube影片中提到,Campaign : Blissful Together Brand : Auntie Anne's Malaysia Marketer : Dickson Chai Agency : Nil PROBLEM Auntie Anne’s is a well-known International...
「facebook advertising strategy」的推薦目錄:
- 關於facebook advertising strategy 在 車志健 Brian Cha Facebook 的最佳解答
- 關於facebook advertising strategy 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於facebook advertising strategy 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的精選貼文
- 關於facebook advertising strategy 在 Dickson Chai Youtube 的最讚貼文
- 關於facebook advertising strategy 在 Dan Lok Youtube 的精選貼文
facebook advertising strategy 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สรุปประเด็นจากกองทุนบัวหลวง
เปิดสูตรเฟ้นหา หุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
BBLAM x ลงทุนแมน
อังคารที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ลงทุนแมนได้ชวนผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง
มาพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นการเฟ้นหาหุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
โดยเริ่มตั้งแต่อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มเปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ไปจนถึงผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในไตรมาสที่ 2
ตัวเลขเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณอะไร ?
เราจะมีวิธีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง..
มาเริ่มต้นกันที่ สรุปภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกา เกิดอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา ?
ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกา มีการทำ QE หรือ การซื้อสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ เพื่อให้ระบบมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นสามารถดำเนินต่อไปได้
โดยประเด็นหลักที่ตลาดยังคงจับตามองในปีนี้คือ การลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่า QE Tapering ซึ่งประธาน FED ออกมาพูดว่า การทำ Tapering จะเริ่มขึ้นในปีนี้ และเป็นการตัดสินใจแยกกันกับ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หมายความว่า หากเริ่มทำ Tapering ดอกเบี้ยก็ไม่จำเป็นจะต้องปรับขึ้นในทันที
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาจะยังใช้นโยบายการเงินที่ค่อนข้างผ่อนคลายต่อไป ทำให้ตลาดสหรัฐอเมริกา กลับมาเป็นขาขึ้น และเงินก็จะวิ่งเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
ซึ่งทางกองทุนบัวหลวงคาดว่า FED จะค่อย ๆ ลดการทำ QE ลงโดยจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือน และ FED มีแนวโน้มจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปี 2024 แต่ก็ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ
ดังนั้น นโยบายโดยรวม จึงยังเอื้ออำนวยให้การลงทุนในตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ไปอีกสักระยะ
แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้ FED ชะลอการทำ QE Tapering ได้ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน ที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไปมาก
อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือ เงินเฟ้อ ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5.4%
ถึงแม้ว่า ราคา สินค้าโภคภัณฑ์บางตัว ลดลงมาแล้ว เช่น ราคาไม้ ทองแดง แต่ราคาบ้านและค่าเช่าบ้านในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ลดลงมา ก็อาจทำให้เงินเฟ้อยังคงสูงได้
แล้วโหมดการลงทุนช่วงนี้ต้องปรับ หรือจับสัญญาณต่ออย่างไรดี ?
กองทุนบัวหลวงก็เชื่อว่าในระยะสั้น เงินจะยังไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และเงินยังอยู่ในหุ้นสหรัฐอเมริกา
โดยในเดือนที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนหลายรายในสหรัฐอเมริกาเข้าลงทุนกลุ่ม Healthcare มากที่สุด
จากความต้องการหาการลงทุนในเชิงคุณภาพ และหุ้นใหญ่ที่ปลอดภัย และที่ผ่านมากลุ่ม Healthcare ยังถือเป็นกลุ่มที่ Laggard หรือเติบโตได้ช้า เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น
แต่ถ้าหากดูกลุ่มที่ผู้จัดการกองทุนมีการถือครองมากที่สุด ก็ยังคงเป็นกลุ่มเทคโนโลยี
ถ้าเทียบระหว่างเทคโนโลยีที่เป็น Hypergrowth อย่างเช่น หุ้น Tesla, Roku, Shopify กับ ดัชนี Nasdaq ที่ เป็นหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon ก็จะเห็นว่าในภาพรวม เงินไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth มาเข้าฝั่ง Nasdaq
ซึ่งปริมาณเงินส่วนที่ไหลเข้ามาในตลาด Nasdaq ยังอยู่ที่ประมาณค่าเฉลี่ย ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าเกิดฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี อย่างที่หลายคนกังวล
โดย Nasdaq ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีเพิ่มมา 18% ประกอบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังมีผลกำไรที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
กองทุนบัวหลวงมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ต่อไป แต่อาจต้องใช้วิธี Active Management หรือการบริหารพอร์ตเชิงรุก เพื่อหาบริษัทที่มูลค่ายังไม่สูงเกินไป
นอกจากนั้น กองทุนบัวหลวงยังมองว่าในสามเดือนสุดท้ายของปีนี้ เงินจะยังอยู่ในฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากมีความสามารถในการบริหารจัดการโควิด 19 ได้ดี และมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เศรษฐกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็ว
สำหรับรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐอเมริกา ในไตรมาสที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตได้ดีมาก
ผลกำไรภาพรวมของตลาด ออกมาสูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ จากห่วงโซ่การผลิตที่มีปัญหาและค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งกองทุนบัวหลวงมองว่า เป็นเพียงระยะสั้น และจะคลี่คลายในระยะปานกลางจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
คำถามต่อมาคือ S&P 500 จะสามารถไปได้ต่ออีกหรือไม่ และแพงไปแล้วหรือยัง ?
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมา ตามกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นมาต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการเป้าหมาย S&P 500 เป็น 4,600 (ตอนนี้อยู่ที่ราว ๆ 4,500) หมายความว่า ดัชนี S&P 500 จะยังคงไปต่อได้
อีกทั้งสหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดการเงินที่สภาพคล่องสูงที่สุดในโลก รวมไปถึงมีบริษัทที่มีคุณภาพดีมากที่สุดในโลก ทำให้ P/E ที่ 20 เท่า ก็ยังสามารถลงทุนได้
แล้วควรลงทุนเมื่อไร ดอกเบี้ยขึ้น จับจังหวะอย่างไร ?
ถ้าเราลองย้อนไปดูสถิติ 12 เดือนก่อนที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ย จะเห็นว่าตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นครั้งแรก
โดยกองทุนบัวหลวง แนะนำหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจ คือให้เข้าสะสมแบบมีวินัย ลงทุนแบบสม่ำเสมอ หรือ DCA เนื่องจากการจับจังหวะตลาดสหรัฐอเมริกา หรือไม่ว่าตลาดไหน ๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
ทีนี้หลายคนคงกังวลว่า เงินทุนเริ่มไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth แล้วเงินส่วนนี้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ?
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือปัจจุบัน เงินทุนไหลออกจากหุ้นในกลุ่ม Hypergrowth แต่ปรากฏว่าดัชนี Nasdaq นั้นยังคงปรับตัวสูงขึ้น ที่เป็นแบบนี้เพราะเงินกำลังไหลไปยังบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ นั่นเอง
หลายคนอาจมองว่า บริษัทเหล่านี้น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 แต่กลับกลายเป็นว่า จากวิกฤตินี้ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น
โดยสังเกตได้จากรายได้ของบริษัทเทครายใหญ่ ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องของแผนในอนาคตที่น่าจับตามอง ทำให้นักลงทุนยังคงให้ความสนใจ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Facebook และ Microsoft
Facebook เป็นบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, WhatsApp ที่มีรายได้หลักมาจากค่าโฆษณาออนไลน์
โดยจุดเด่นของ Facebook คือ ความสามารถในการยิงโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ พร้อมทั้งยังมีโอกาสเติบโตไปกับอุตสาหกรรมสื่อออนไลน์อีกมาก เนื่องจากโควิด 19 ก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น
สำหรับแผนในอนาคตของ Facebook นั้นยังคงเป็นเรื่องของแผนการปรับตัวให้บริษัทเป็น บริษัท “Metaverse” หรือโลกแห่งการผสมผสาน ระหว่างโลกจริงและโลกเสมือน อย่างเต็มตัว
โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook มองว่า โลกของ Metaverse จะกลายเป็นอนาคตของโลกอินเทอร์เน็ต โดยล่าสุดก็ได้มีการเปิดตัว Horizon Workrooms ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปประชุมได้แบบเสมือนจริง ผ่านตัวละคร Avatar
มาต่อกันที่บริษัทซอฟต์แวร์ที่เราคุ้นเคยกัน อย่าง “Microsoft” ซึ่งในปีที่ผ่านมายังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมูลค่าบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก ผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมา ที่ยังคงเติบโต 17% จากบริการ Intelligence Cloud ที่เติบโตได้ดี
แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องของแผนในอนาคต อย่างการทำโลกเสมือน หรือที่ทาง Microsoft เรียกว่า Digital Twin ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำ Metaverse ของ Facebook แต่จะเป็นการก๊อบปี้ของจริงมาไว้บนโลกออนไลน์แทน เช่น จำลองสถานที่ จำลองตึก เพื่อนำมาใช้ทดสอบการบินของโดรนก่อนเอาออกไปใช้งานจริง
ทั้งนี้ในส่วนของ Theme โลกเสมือนนั้น อาจมีความเสี่ยง เรื่องที่จะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย กว่าที่เราจะได้สัมผัสแบบเต็ม ๆ
แต่นี่เป็นเหมือนการส่งสัญญาณว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายรายกำลังตื่นตัวกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และมีการเตรียมพร้อม มองหาช่องทางการเติบโตใหม่ ๆ หรือที่เรียกว่า New S-Curve อยู่ตลอดเวลา
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า แล้วกระแสเงินลงทุนที่ดูมีการเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางเช่นนี้ จะมีผลกระทบกับกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE แค่ไหน ?
สำหรับกองทุน B-USALPHA นั้น หลายคนอาจจะคิดว่ากองนี้มีแต่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเดียว
แต่ถ้ามาดูสัดส่วนของหุ้นในพอร์ตการลงทุนนั้นจะพบว่า กองทุนพยายามให้ความสมดุลระหว่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กับกลุ่มวัฏจักรในสหรัฐอเมริกา โดยกองทุนนี้มีแบ่งส่วนการลงทุนด้วยกันหลัก ๆ 3 อย่าง คือ
1. กลุ่ม Digital Advertising เช่น Facebook, Pinterest, Snap
2. กลุ่ม สถาบันการเงิน เช่น Morgan Stanley, PayPal, Square
3. กลุ่ม Technology Enabled หรือก็คือ ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสร้างนวัตกรรม เช่น Deere & Company, Freeport-McMoRan, Zillow Group
ทั้งกลุ่ม Digital Advertising และ Technology Enabled นั้นยังมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับการเปิดเมือง
ส่วนการลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงิน จะช่วยสร้างสมดุล และลดความเสี่ยงของพอร์ตในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ที่ทำให้กลุ่มของธุรกิจสถาบันการเงินนั้นได้รับประโยชน์ไปด้วย จากอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับสูงขึ้น
ส่วนกองทุน B-FUTURE นั้น มีการกระจายลงทุนในธุรกิจ 3 กลุ่มคือ เทคโนโลยี Hypergrowth, อุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจ Theme เปิดเมือง
โดยในส่วนของกลุ่ม Hypergrowth นั้น ทางผู้จัดการของกองทุน ก็ได้เน้นอย่างมาก กับการลงทุนในหุ้นที่ยังมี Valuation ไม่สูงจนเกินไป
นอกจากนี้ ทางกองทุนยังเน้นการลงทุนใน Theme อนาคต ไม่ได้เจาะจงในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีผู้จัดการกองทุนที่คอยปรับพอร์ตตามสถานการณ์การลงทุนต่าง ๆ
ด้วยนโยบายการบริหารแบบ Active Management ทำให้ B-FUTURE สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
เช่น หากมองว่าในระยะยาว หุ้นกลุ่มเอเชียหรือจีน ยังมีโอกาสเติบโตมาก ความกดดันของรัฐบาลจีนคลี่คลายลง แล้วยังมี Valuation ที่ไม่สูงเกินไป ทางกองทุนก็สามารถปรับน้ำหนักพอร์ตมาลงในหุ้นเอเชียหรือจีนเพิ่มขึ้นได้
ทำให้เห็นว่า B-FUTURE นั้นเป็นกองทุนที่สามารถทยอยสะสมเข้าได้เรื่อย ๆ และเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลามาก แต่อยากลงทุนในหุ้นแห่งอนาคต
สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน จากหุ้นในสหรัฐอเมริกา หรือหุ้นใน Theme อนาคต
ทั้งกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE ก็ยังเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทน ได้โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล พร้อมคอยปรับพอร์ตการลงทุนให้ในระยะยาว ซึ่งการใช้กลยุทธ์ DCA ทยอยลงทุนทุกเดือนก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจ
คำเตือน
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
facebook advertising strategy 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的精選貼文
หากคุณเลือกที่จะเปิดร้านค้าออนไลน์ นอกจากการทำคอนเทนต์ที่ดีจะเป็นเรื่องสำคัญนั้น อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน แถมยังช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าสนใจสินค้าของคุณได้ดี ก็คือ การทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งวิธีที่คนเลือกใช้มากที่สุด หนีไม่พ้นการทำโฆษณา หรือที่เรียกว่า “ยิงแอด”
.
ซึ่งช่องทางโฆษณายอดฮิตที่หลายคนเลือกใช้และมุ่งความสนใจไปมากที่สุด ก็คือ 2 ช่องทางนี้ “Facebook Ads” และ “Google Ads” แล้วจะเลือกช่องทางไหนดีกว่ากัน? มันต่างกันตรงไหน? และช่องทางไหนที่เหมาะกับธุรกิจเรามากที่สุด วันนี้ เรามีข้อมูลแต่ละด้านมาให้ทุกคนได้ทำความรู้จักและเปรียบเทียบถึงความแตกต่างของทั้ง 2 ช่องทาง เพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจเลือกได้ง่ายขึ้นว่าช่องทางไหนจะทำให้การทำโฆษณาของคุณมีประสิทธิภาพมากที่สุด
.
1.จุดเด่น
“Facebook Ads”
Facebook คือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่หลายคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี มียอดผู้เข้าใช้ทั้งสิ้นประมาณ 2.6 พันล้านบัญชี ซึ่งบริษัทต่างๆ มักนิยมทำโฆษณาบนแพลตฟอร์ม “Facebook Ads” จุดเด่นก็คือ
- สามารถเลือกรูปแบบโฆษณาได้ตามเป้าหมายที่ตั้งใจไว้ ทั้งการเพิ่มการรรับรู้แบรนด์ ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริโภค รวมถึงเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจ
- เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น
- เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้หลายกลุ่มมากกว่า เนื่องจากสามารถเลือกยิงโฆษณาได้ตามความสนใจหรือตามพฤติกรรมเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ต้องการได้ ทั้งยังสามารถเลือกยิงโฆษณาไปหากลุ่มเป้าหมายได้ตามเพศ อายุ อาชีพ ภูมิลำเนา เป็นต้น
.
“Google Ads”
Google แพลตฟอร์มการค้นหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทั้งขนาดและจำนวนผู้ใช้ที่มีไปทั่วโลก ซึ่งจากสถิติของ Search Engine Land พบว่า Google มียอดค้นหามากกว่า 63,000 / วินาที ครองตลาดไปกว่า 75% แพลตฟอร์มนี้จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่บริษัทนิยมใช้ในการทำโฆษณา
โดยจุดเด่นก็คือ
- เป็นโฆษณาที่จะแสดงตามคำที่ผู้ใช้งานค้นหา โดยที่คนเหล่านี้จะต้องมีความต้องการอยู่แล้ว
- Google Ads เปรียบเสมือนเครื่องมือที่ช่วยตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่มีความต้องการ
- มีความแม่นยำในการเข้าหากลุ่มเป้าหมายที่ต้องการสินค้าและบริการได้อย่างตรงจุดที่สุด
.
2.รูปแบบของโฆษณา
“Facebook Ads” เป็นโฆษณาแบบหว่าน (Push Marketing) คือ โฆษณาที่ร้านค้าจะเป็นคนเลือกกลุ่มเป้าหมายเอง แล้วยิงโฆษณาไปหากลุ่มนั้นๆ เช่น ต้องการให้โฆษณายิงไปหาผู้ใช้ที่เป็นผู้หญิง อายุ 18-25 ปี ทำอาชีพเป็นพนักงานออฟฟิศ เป็นต้น ซึ่งผู้ใช้เหล่านั้นมักไม่ได้มีความต้องการหรืออยากได้สินค้าหรือบริการนั้นมาก่อน โดยรูปแบบของโฆษณามีความหลากหลายสามารถเลือกได้ตามความต้องการและความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น ภาพ วิดีโอ และ Carousel
“Google Ads” เป็นโฆษณาแบบตั้งรับ (Pull Marketing) คือ เป็นโฆษณาที่ต้องรอให้ผู้ใช้งานค้นหาคำที่ต้องการก่อน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อมีการค้นหาเท่านั้น โดยมีให้เลือกทำหลากหลายรูปแบบเช่น โฆษณาแบบ SEM หรือ Search Engine Marketing โฆษณาบนหน้าค้นหา และ GDN หรือ Google Display Network โฆษณาแบบแบนเนอร์ หรือกล่องโฆษณาที่ขึ้นบนเว็บไซต์ต่างๆ
.
3.การแสดงผล
“Facebook Ads” โฆษณามักแสดงผลบนหน้าแรกของเฟซบุ๊กของกลุ่มเป้าหมายที่กำหนด แม้พวกเขาจะไม่ได้ต้องการสินค้าหรือบริการนั้นก็ตาม แต่หากคุณสมบัติ ความสนใจ และพฤติกรรมของเขาตรงกับสิ่งที่เรากำหนดไว้ อย่างไรแล้วโฆษณาก็จะไปแสดงผลบนหน้าแรกของเขาแน่นอน ซึ่งหากเขาเห็นโฆษณาบ่อยๆ ก็อาจทำให้เกิดความอยากได้ อยากซื้อขึ้นมาได้
“Google Ads” การแสดงผลของโฆษณาบน Google จะแสดงก็ต่อเมื่อมีการค้นหาคำเฉพาะของสินค้าที่ลูกค้าต้องการ เช่น ผู้ใช้งานต้องการครีมทาผิว ก็จะทำการใส่คำว่า “ครีมทาผิวยี่ห้อไหนดี” หน้าค้นหาของ Google ก็จะปรากฏโฆษณาหรือแบรนด์ของคุณขึ้นมา สร้างโอกาสให้พวกเขาได้รู้จักและเกิดการซื้อได้ทันที ดังนั้น คำหรือคีย์เวิร์ดที่ดี คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้พวกเขาค้นหาสินค้าของคุณเจอ
.
4.การคิดเงินค่าโฆษณา
“Facebook Ads” การคิดเงินของการทำโฆษณาบน Facebook มีหลายรูปแบบ ตามแต่วัตถุประสงค์ที่ต้องการโฆษณา ทั้งคิดเงินจากการคลิก, คิดเงินจากการมองเห็น, คิดเงินจากการรับชมวิดีโอ เป็นต้น แต่หลักๆ แล้วมีด้วยกัน 2 แบบคือ
1). CPC หรือ Cost Per Click ต้นทุนต่อการคลิก เช่น เราเสนอราคาต่อคลิก 3 บาท ถ้ามีผู้ใช้งานคลิกโฆษณา 1 ครั้ง เราก็ต้องจ่ายเงิน Facebook 3 บาท แต่ถ้ามีคนคลิกดู 10 ครั้ง เราก็ต้องจ่าย 30 บาท เป็นต้น
2). CPM หรือ Cost Per Mille ต้นทุนต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง ก็คือ เราต้องจ่ายเงินที่ตั้งไว้ เมื่อมีการแสดงโฆษณาต่อผู้ใช้งานครบ 1,000 ครั้ง โดยไม่สนใจว่าใน 1,000 ครั้ง จะมีการคลิกหรือไม่
“Google Ads” การคิดเงินค่าโฆษณาบน Google จะคิดเงินก็ต่อเมื่อมีลูกค้าคลิกที่โฆษณาเท่านั้น ถ้าโฆษณาของคุณไม่ถูกคลิกเลย ก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินแม้โฆษณาจะยังแสดงอยู่ก็ตาม แม้จะดูเป็นการคิดเงินที่ไม่สิ้นเปลือง แต่อย่าลืมว่า ยิ่งคุณต้องจ่ายน้อยเท่าไหร่ เท่ากับว่าโฆษณาของคุณนั้นไม่ถูกมองเห็น รวมถึงไม่มีประสิทธิภาพอีกด้วย
.
5.แล้วแพลตฟอร์มไหน เหมาะกับโฆษณาของคุณที่สุด
หากพูดถึงความเหมาะหรือไม่เหมาะ แน่นอนว่าต้องขึ้นอยู่กับความต้องการของร้านค้าหรือธุรกิจของคุณด้วย ซึ่งทั้ง 2 รูปแบบ ก็มีการทำงานและให้ประสิทธิผลที่ต่างกัน
สำหรับ Facebook เหมาะสำหรับร้านค้าหรือธุรกิจ ที่ต้องการ
- เพิ่มการรับรู้และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ทั้งบนโพสต์และเพจ
- เพื่อย้ำความสนใจไปยังลูกค้าที่เคยเข้ามาเยี่ยมชมเพจ หรือร้านค้าของคุณ แต่ตอนนั้นอาจยังไม่มีความสนใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการ
- สามารถสร้างโฆษณาวิดีโอให้เข้าถึงผู้ชมได้จำนวนมากในเวลาเดียวกัน เนื่องจาก Facebook เป็นแพลตฟอร์มที่รวบรวมคนหลักล้านคนไว้ด้วยกัน ซึ่งคุณสามารถเลือกกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการยิงโฆษณาให้เห็นได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของวิดีโอของคุณด้วยว่า ต้องการโฆษณาเพื่ออะไร และโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมายใด
- สร้างกลุ่มเป้าหมายจากข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่ Facebook จะมีการเก็บข้อมูลของผู้ที่เคยมีส่วนร่วมหรือเคยสนใจในสินค้าหรือบริการของเรา เช่น เพศ อายุ อาชีพ ความสนใจ เป็นต้น ซึ่งเราสามารถนำข้อมูลเหล่านั้นมากำหนดเป็นกลุ่มเป้าหมายในการยิงโฆษณาเพื่อสร้างลูกค้าในครั้งต่อ ๆ ไปได้
แต่ Google Ads นั้นจะเหมาะสำหรับร้านค้าหรือธุรกิจต้องการ
- เน้นไปที่การขายเป็นหลัก เพราะมีโอกาสที่คุณจะปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากลูกค้าที่เห็นโฆษณาของคุณบนหน้า Google นั้น มักมีความต้องการหรืออยากได้สินค้านั้น ๆ อยู่แล้ว
- โฆษณารูปแบบการค้นหา อย่างที่ได้บอกไปแล้วว่า โฆษณาของ Google หลักๆ คือ แสดงผลเมื่อมีการค้นหา แน่นอนว่าลูกค้ามักมีความต้องการอยากได้ หรืออยากซื้อสินค้าและบริการนั้นอยู่แล้ว หากคำหรือคีย์เวิร์ดของคุณตรง ใกล้เคียงกับลูกค้ามากที่สุด ก็มีโอกาสที่โฆษณาของคุณจะมีประสิทธิภาพสามารถปิดการขายได้ค่อนข้างดี
- โฆษณาวิดีโอบน Youtube หลายคนจะคุ้นเคยกับโฆษณารูปแบบของ skip หลังจากที่วิดีโอได้ทำงานไป สามารถแสดงก่อนหรือระหว่างการเล่นของวิดีโอที่ลูกค้ากำลังรับชมได้ ซึ่งมีหลายรูปแบบด้วยกัน เช่น Bumper Ads, Display Ads เป็นต้น ช่วยสร้างการรับรู้อย่างกว้างขวาง พร้อมกับกระตุ้นให้ลูกค้าจดจำสินค้าหรือบริการได้เป็นอย่างดี
- โฆษณาด้วยแบนเนอร์ รูปภาพ ตัวหนังสือ ที่ทำให้เกิดการคลิกเข้าไปยังหน้าเว็บไซต์ต่างๆ มักปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ที่เป็นพาร์ทเนอร์กับ Google ซึ่งเป็นการช่วยสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์หรือสินค้าได้ดี
.
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดนี้ เป็นเพียงข้อมูลที่นำมาให้ทุกคนได้รู้จักการโฆษณาทั้ง Facebook Ads และ Google Ads มากขึ้น หากให้ตัดสินว่าคุณควรเลือกใช้แบบไหนมากกว่ากัน เราคงตอบไม่ได้ เพราะคนที่จะตอบได้ดีที่สุดคือตัวคุณเองว่า สินค้าและบริการคืออะไร กลุ่มเป้าหมายเป็นใคร และมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร
.
หรือถ้าคุณอยากใช้งานทั้ง 2 รูปแบบร่วมกันก็สามารถทำได้ ด้วยการสร้างแบรนด์จาก Facebook แล้วไปปิดการขายที่ Google เนื่องจากผู้ใช้งาน Facebook ส่วนใหญ่เห็นโฆษณาแล้วสนใจ ก็มักจะไปค้นหาสินค้าหรือบริการนั้นๆ ที่ Google ซึ่งการโฆษณาในรูปแบบนี้ ก็ยิ่งเป็นผลดีกับแบรนด์ ช่วยตอกย้ำผู้บริโภคให้เกิดการรับรู้และซื้อสินค้าหรือบริการของเราในที่สุด
.
ที่มา : https://medium.com/@sidz/which-is-better-for-traffic-facebook-or-google-9b6c3c239249
https://stepstraining.co/strategy/google-ads-vs-facebook-ads-for-business
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#Facebook #Google #Brand #Ads
#Advertising #การโฆษณา #การขาย
facebook advertising strategy 在 Dickson Chai Youtube 的最讚貼文
Campaign : Blissful Together
Brand : Auntie Anne's Malaysia
Marketer : Dickson Chai
Agency : Nil
PROBLEM
Auntie Anne’s is a well-known International Brand from U.S.A specializing in baked soft pretzels. The first outlet arrived at Malaysian shores 25 years ago and has since experienced continuous growth in both outlets and customer base.
Sales during the Chinese New Year festive period (January to February) are typically non-peak season with lower-than-average volumes.Malaysians from city areas (where the majority of Auntie Anne’s outlets are located) back to their respective hometowns in sub-urban or rural areas to spend time with the family, traditionally the week preceding and during Chinese New Year. This leads to lower footfall at shopping areas and malls during this window, generating lower transactions.
Auntie Anne’s devised a breakthrough strategy to increase brand presence, awareness and drive customers’ visitation to outlets when doing shopping in malls.
SOLUTION
The campaign’s concept – “Blissful Together”, inspired by “福” (Blissful) – a word commonly used during Chinese New Year seasons which means good wishes and also represents the joy and festive mood associated with Chinese New Year. Creatively combined the brand logo with the word “福”, fusing a Western brand with iconic traditional Chinese element, to become the central art of the campaign, making all customers felt like enjoying a piece of Auntie Anne’s means receiving a “Blissful” wishes from the brand during Chinese New Year.
Campaign’s target audience was Malaysians of all races, all ages, including new and repeat customers.
Auntie Anne’s used an integrated approach to maximise reach and engagement of target audience via relevant touch-points.
Packaging: All packaging were changed into a couplet-like design with Auntie Anne’s version of “福” (Blissful) word on it, spreading the “Blissful” experience to every customer who visited Auntie Anne’s throughout the period.
In-store promotional items: Utilized all potential spaces and real estate within each outlet to display campaign-related in-store items. All collaterals strongly presented the Auntie Anne’s version of “福” (Blissful) word and functioned like couplets display at outlets.
Promotion Scheme: 3 promotional sets and used different “Blissful” levels to represent different promotional sets: i. “So Blissful” – RM8.50 (Original Stix + Any Pretzel) , ii. “More Blissful” – RM9.50 (Cinnamon Stix + Any Pretzel) , iii. “Very Blissful” – RM10.50 (Choco Eclairs Stix + Any Pretzel).
Social Media: Consistent postings highlighting the couplet-like design packaging to bring up the festive mode among audience as well as a reminder to loyal fans and potential customers throughout campaign period.
DELIVERY
On ground:
All Auntie Anne’s outlets turn into “Blissful” outlets by displaying all “Blissful Together” theme promotion materials.
All outlet staffs strongly promote “Blissful” promotion set items with use of “Blissful” name for promotion items: “So Blissful”, “More Blissful” and “Very Blissful” instead items’ original names during the campaign.
Only “Blissful” design packaging was used during the period to pack every product sold.
On line:
The campaign was announced through Facebook and Instagram page by changing the profile photos to display Auntie Anne’s version of “福” (Blissful) word and followed immediately by promotion information post on 1st day of campaign. Facebook and Website landing page cover pictures were changed to “Blissful Together” campaign key visuals to be consistent with the “Blissful” decoration displayed at physical outlets.
1 social media posting was made on Facebook and Instagram platforms on average, every 2.5 days, about “Blissful Together” campaign to maintain the campaign hype and momentum.
PERFORMANCE
Successfully spread “Blissful” wishes to more than 945,000 customers with more than 1,790,000 “Blissful” packaging handed out together with the products sold – exceeding the sales made last year for same period by more than 41,000 units.
A growth in Revenue of 5.6% and growth in number of transactions by 2.7% during the Chinese New Year period compared to last year. Average spending per transaction increased by 2.8% showing the direct impact of the promotional set items sold which encouraged customer’s higher spending or more quantity purchase per transaction.
“Blissful Together” postings gained total of 42,622 reached with in Facebook fan page and 20,438 reached in Instagram during campaign period with ZERO advertising budget. “Blissful Together” first day posting achieved 5% engagement rate which was higher than industry benchmark (3-4%).
Campaign successfully created a new mindset of inclusivity, reminding that festive seasons such as the Chinese New Year can be celebrated by all races through the concept of blending a western international brand with traditional Chinese culture to symbolize joy and fortune during Chinese New Year.

facebook advertising strategy 在 Dan Lok Youtube 的精選貼文
97% Of You Will Ignore This 2019 Internet Marketing Strategy Guaranteed. But If You Are A High-Achiever And Want More Secret Internet Marketing Strategies To Accelerate Growth, Discover Them In Dan's FREE Masterclass: http://internetmarketing2019.danlok.link
Internet marketing is become wildly popular among more people, but only a handful of them have mastered the marketing strategies. In this video, Dan takes you behind the scenes to one of his closed door masterminds and teaches you the internet marketing strategies he use to build multimillion dollar companies.
? SUBSCRIBE TO DAN'S YOUTUBE CHANNEL NOW ?
https://www.youtube.com/danlok?sub_confirmation=1
Check out these Top Trending Playlists -
1.) Boss In The Bentley - https://www.youtube.com/playlist?list=PLEmTTOfet46OWsrbWGPnPW8mvDtjge_6-
2.) Sales Tips That Get People To Buy - https://www.youtube.com/watch?v=E6Csz_hvXzw&list=PLEmTTOfet46PvAsPpWByNgUWZ5dLJd_I4
3.) Dan Lok’s Best Secrets - https://www.youtube.com/watch?v=FZNmFJUuTRs&list=PLEmTTOfet46N3NIYsBQ9wku8UBNhtT9QQ
Not long ago, Dan Lok was just a poor immigrant boy. He had nothing but a strong desire to get out of debt and make enough to provide for his single mom. With this strong desire, Dan quit his job as a grocery bagger. He dropped out of college. And he became an entrepreneur.
After 13 failed businesses, Dan finally became a self-made millionaire at age 27 and multi-millionaire by age 30.
Fast forward to today, Dan is now an official Forbes Book author with over 13 internationally best-selling books. He’s the founder and chairman of several multimillion dollar businesses. And outside of his business success, he is one of the most-watched, most quoted and most followed educators of our time. In total, his videos have been watched over 100-million times across his social media platforms. His emails are read by over 2,000,000 people every month.
If you want the no b.s. way to master your financial destiny, then learn from Dan. Subscribe to his channel now.
★☆★ CONNECT WITH DAN ON SOCIAL MEDIA ★☆★
YouTube: http://youtube.danlok.link
Dan Lok Blog: http://blog.danlok.link
Facebook: http://facebook.danlok.link
Instagram: http://instagram.danlok.link
Linkedin: http://mylinkedin.danlok.link
Podcast: http://thedanlokshow.danlok.link
#DanLok #Marketing #InternetMarketing
Please understand that by watching Dan’s videos or enrolling in his programs does not mean you’ll get results close to what he’s been able to do (or do anything for that matter).
He’s been in business for over 20 years and his results are not typical.
Most people who watch his videos or enroll in his programs get the “how to” but never take action with the information. Dan is only sharing what has worked for him and his students.
Your results are dependent on many factors… including but not limited to your ability to work hard, commit yourself, and do whatever it takes.
Entering any business is going to involve a level of risk as well as massive commitment and action. If you're not willing to accept that, please DO NOT WATCH DAN’S VIDEOS OR SIGN UP FOR ONE OF HIS PROGRAMS.
This video is about 97% Of You Will Ignore This 2019 Internet Marketing Strategy - Closed Door Mastermind
https://youtu.be/p9FXRjGkKYM
https://youtu.be/p9FXRjGkKYM
