เธอมันแย่ เธอมันห่วย เธอมันไม่ดี !!!
ทุกวันนี้มีถ้อยคำสร้างความเกลียดชังหรือ Hate Speech เยอะมากบนอินเทอร์เน็ต แถมยังรุนแรงกว่าที่เรายกตัวอย่างไปข้างต้นซะอีก ซึ่งในฐานะแพลตฟอร์มที่มีถ้อยคำเกลียดชังอยู่เยอะมากอย่าง Facebook, Instagram, YouTube และ Twitter ซึ่งก็ไม่แปลกหรอกเนอะที่จะถูกจับตามองเป็นอย่างมากว่าจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้ยังไง
แต่บางแพลตฟอร์มก็ยังไม่สามารถจัดการกับสิ่งเหล่านี้ได้มีประสิทธิภาพมากนักน่ะสิ อย่างกรณี George Floyd ก็เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้เห็นภาพชัดมาก ๆ กรณีนึง ทั้งหมดทั้งมวลเลยเกิดเป็นแคมเปน "Stop Hate for Profit*" ที่มีความร่วมมือจากแบรนด์และบริษัทดังมากกว่า 100 บริษัททั่วโลกในการรณรงค์ "ไม่ลงโฆษณา" บนแพลตฟอร์มเหล่านั้น
ซึ่งการรณรงค์นี้จะมีตั้งแต่การไม่ลงโฆษณาบนแพลตฟอร์มเหล่านั้นตั้งแต่ 30 วัน ไปจนถึงสิ้นปีเลยก็มี ซึ่งการไม่ลงโฆษณาก็หมายถึงการเสียรายได้ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มไปด้วยนั่นเอง
แต่ในบรรดาผู้ให้บริการแพลตฟอร์มทั้งหมดที่กล่าวไปที่โดนหนักที่สุดเห็นจะมี Facebook เนี่ยแหละ เพราะที่ผ่านมาเค้าไม่เคยมีนโยบายหรือการเคลื่อนไหวใด ๆ เกี่ยวกับเนื้อหาสร้างความเกลียดชังเลยแม้แต่น้อย
อ้อ แล้วก็ต้องบอกอีกว่าอย่าง Facebook เนี่ยเค้าไม่ได้เป็นเจ้าของแค่แอปพลิเคชัน Facebook นะ เพราะ Instagram ก็ถูก Facebook ซื้อไปนานแล้วเช่นกัน ก็เลยยิ่งถือว่าโดนหนักเลยล่ะทีนี้
Unilever ที่เป็นเครือใหญ่เจ้าของแบรนด์ โดฟ พอนดส์ ซิตร้า ซันไลต์ ลักซ์ วาสลีน เคลียร์ ฯลฯ ก็ประกาศออกมาแล้วว่าจะหยุดลงโฆษณาบน Facebook, Instagram และ Twitter ถึงสิ้นปี 2020
และนอกจากนั้นก็จะมีแบรนด์/บริษัทที่ทยอยประกาศกันออกมาว่าจะหยุดลงโฆษณาบน Facebook และ Instagram อย่างน้อย 30 วันอยู่ด้วยกันหลาบบริษัท เช่น Coca-Cola, Verizon, The North Face, BMW, HP, PayPal, Levi’s, Pepsi, Doritos, Adobe, Patagonia REI และ Dockers ฯลฯ
หากยังเห็นภาพไม่ชัดว่าแคมเปนนี้มีผลกระทบต่อ Facebook หรือผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเหล่านี้แค่ไหน ให้ลองคิดภาพง่าย ๆ ว่าปีที่แล้ว Facebook ได้เงินงบโฆษณาจาก Unilever สหรัฐฯ ไปถึงประมาณ 1.3 พันล้านบาทเลยทีเดียว
หรืออย่าง Verizon แบรนด์ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่เมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมาก็ลงเงินไปกับแอปพลิเคชัน Facebook และ Instagram รวมกว่า 57 ล้านบาทเลยทีเดียว
อื้อหืออ ไม่ใช่เล่นเลยใช่มั้ยล่ะ
แต่พอมองอีกมุมก็มีข้อมูลที่น่าสนใจว่ารายได้โฆษณาของ Facebook ส่วนใหญ่นั้นก็มาจากธุรกิจขนาดกลางและเล็ก แล้วแบบนี้แรงกระเพื่อมจากบริษัทใหญ่จะส่งถึง Facebook แค่ไหนกันนะ
แต่ทั้งนี้ทางตัวแทนของ Facebook ก็ได้มีการออกมาบอกนะว่าทางบริษัทได้ออกมาทุ่มเงินนับพันล้านดอลลาร์ทุกปีเพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับชุมชน รวมถึงทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกในการตรวจสอบและปรับปรุงนโยบายการใช้งาน และเปิดให้มีการตรวจสอบจากภายนอก
รวมถึงยังมีการลงทุนเกี่ยวกับเรื่องของ AI ที่สามารถตรวจจับเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังได้ถึง 90% ก่อนที่จะมีผู้ใช้รายงานเข้ามาอีกด้วยล่ะ ทางด้าน EU ก็มีการรายงานว่าระบบของ Facebook สามารถตรวจจับได้เร็วกว่า Twitter และ YouTube ถึง 24 ชั่วโมง
ก็ดูเห็นการเคลื่อนไหวของหลาย ๆ ฝ่ายมากขึ้นเนอะ แล้วคุณมีความคิดเห็นต่อเรื่องเหล่านี้ยังไงบ้าง หรือคุณคิดว่าแบรนด์ในประเทศไทยจะมีการเคลื่อนไหวต่อเรื่องนี้ยังไงบ้าง แล้วถ้ามี คุณคิดว่าเจ้าไหนจะออกมาเคลื่อนไหวเจ้าแรกกัน ?
---
* แคมเปน Stop Hate for Profit เกิดขึ้นโดยกลุ่มสิทธิพลเมือง เช่น Anti-Defamation League, Color of Change, Common Sense Media, NAACP ฯลฯ
อ้างอิง :
- https://www.dailygizmo.tv/2020/06/29/coca-cola-ban-facebook/
- https://www.stophateforprofit.org/
- https://www.theverge.com/2020/6/26/21305065/coca-cola-pause-ads-facebook-social-platforms-july-boycott
- https://www.cnbc.com/2020/06/25/goodby-joins-facebook-stophateforprofit-boycott.html?__source=Facebook&fbclid=IwAR1wueiyhPE3EdVaZ9npGVN5_UZhxDBB-cT1An_PzLZter6rOPqCiBg1J9o
- https://www.cnbc.com/2020/06/25/verizon-pulling-advertising-from-facebook-and-instagram.html
- https://twitter.com/Unilever/status/1276557729092571137?s=20
- https://twitter.com/thenorthface/status/1266864442131664897?s=20
Search
dockers eu 在 Dockers Europe - YouTube 的必吃
Our ambassadors Joan Duru and Maud Le Car traveled through the coast meeting with other surfers and activists to raise awareness on saving water. ... <看更多>