"แมงดาถ้วย ก็เป็นแมงดาหางกลมนะ เสี่ยงอันตราย ไม่ควรกินครับ"
ก็ยังต้องเตือนๆ กันอยู่เรื่อยเลยนะครับ ว่า "แมงดาถ้วย" จริงๆ ก็เป็น "แมงดาทะเลหางกลม" ซึ่งเป็นสัตว์ทะเลที่มีความเสี่ยงต่อการบริโภคแล้วได้รับสารพิษเข้าไปด้วย
ยังไง ก็ขอร้องให้บรรดาพ่อค้าแม่ค้าเลิกนำมาขายเถอะครับ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคนะ
-------------------
"แมงดาถ้วย ก็มีพิษนะ ไม่ควรกินครับ"
อันนี้เรื่องใหญ่นะ มีคนฟ้องมาว่า ไปดูรายการท่องเที่ยวชิมอาหารของทีวีช่องหนึ่ง แล้วเค้าพาไปดูชาวบ้านจับแมงดาเอาไข่มาทำอาหาร แต่ในรายการนั้น ใช้ "แมงดาถ้วย" ซึ่งชาวบ้านบอกว่า ไม่อันตราย กินได้ คนละชนิดกับ "แมงดาไฟ (หรือ เห-รา)" เพราะดูที่ตาเป็นสีดำ ไม่ได้เป็นสีแดงเหมือนแมงดาไฟ ...อันนี้ ผิดๆๆๆ เลยนะครับ แมงดาถ้วย ก็มีพิษ อันตรายไม่แพ้แมงดาไฟนะ !!
จริงๆ แล้ว แมงดาถ้วย กับ แมงดาไฟหรือเห-รา เนี่ย มันก็พวกเดียวกันแหล่ะครับ ... "แมงดาทะเล" ในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมงดาถ้วย หรือ แมงดาไฟ หรือเห-รา (Carcinoscorpius rotundicauda ) ซึึ่งเป็นแมงดาทะเลที่มีพิษจากสาร tetrodotoxin เตตราโดท็อกซิน และแมงดาจาน (Tachypleus gigas) ซึ่งเป็นแมงดาทะเลที่ไม่มีพิษ และชาวบ้านนำมาทำเป็นอาหารได้
โดยทั่วไป แมงดาถ้วย ตัวจะเล็กกว่า หางจะกลมและเรียบ ส่วนแมงดาจาน ตัวจะโตกว่า หางจะเป็นสามเหลี่ยม มุมด้านบนของสามเหลี่ยมจะเป็นรอยหยักชัดเจน
การเป็นพิษจากการรับประทานไข่แมงดาทะเลนั้น จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการชาตามปาก แขนขา แล้วตามด้วยอาการอัมพาต หรืออาจเสียชีวิตจากการหยุดหายใจเนื่องจากกล้ามเนื้อหายใจไม่ทำงาน เพราะสารพิษ tetrodotoxin หรือ saxitoxin จะยับยั้งการทำงานของ sodium channel ในกล้ามเนื้อโดยตรง
สาเหตุส่วนใหญ่ที่คนพลาดไปกินแมงดาถ้วยกัน ก็เพราะความเชื่อผิดๆ ของชาวบ้านแบบนี้แหล่ะว่า "ตัวเห-รามีพิษ แต่แมงดาถ้วยไม่มีพิษ" "ตัวเห-รามีขนและตาแดง แมงดาถ้วยไม่มีขนและ ตาดำ" ซึ่งผิด
แถมหลังๆ นี้ จำนวนของแมงดาจานมีน้อยลงอย่างมาก ขณะที่พบแมงดาถ้วยเพิ่มขึ้น (ในอัตราส่วนแมงดาจานต่อแมงดาถ้วย ถึง 1 : 100) ซึ่งผมเดาว่า ก็เพราะเราจับแมงดาจานมากินไข่กันเยอะเกินไปแล้ว จำนวนประชากรมันเลยลดลง
บางคนแย้งว่ากินแมงดาถ้วยแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไร คือ คุณก็โชคดีนะ ในประเทศไทยเรานี้แมงดาถ้วยมีทั้งตัวที่มีพิษ บางตัวไม่มีพิษ หรือมีพิษประมาณ 30% แต่การที่เราไม่สามารถแยกตัวที่มีพิษกับตัวที่ไม่มีพิษออกจากกันด้วยลักษณะภายนอกได้ จึงไม่ควรกินอยู่ดี
สรุปว่า แมงดาทะเลตัวไหน "หางกลม" เนี่ย ห้ามกินทั้งนั้นนะ ไม่ว่าเค้าจะอ้างว่าเป็นแมงดาถ้วยก็ตาม .. ส่วนรายการทีวีนี้ ก็รบกวนขอให้แก้ไขด้วยเถอะ ไม่งั้นชาวบ้านได้ตายฟรีๆ กันอีกเยอะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ข้อมูลความเป็นพิษของแมงดาถ้วย จาก https://med.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/bulletin/bul95/v3n1/Hors_crab
同時也有2部Youtube影片,追蹤數超過18萬的網紅The Story เรื่องเล่า เล่าเรื่อง,也在其Youtube影片中提到,ติดตาม Facebook คลิก ► https://www.facebook.com/TheStory9 ดูคลิป The Story ทั้งหมด คลิก ► https://www.youtube.com/playlist?list=PLFC7PXzO-8rx6zLyjRj2Q...
「carcinoscorpius rotundicauda」的推薦目錄:
- 關於carcinoscorpius rotundicauda 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最佳貼文
- 關於carcinoscorpius rotundicauda 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最讚貼文
- 關於carcinoscorpius rotundicauda 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最佳解答
- 關於carcinoscorpius rotundicauda 在 The Story เรื่องเล่า เล่าเรื่อง Youtube 的最佳貼文
- 關於carcinoscorpius rotundicauda 在 SunitJo Travel Youtube 的最佳解答
- 關於carcinoscorpius rotundicauda 在 Mangrove horseshoe crab (Carcinoscorpius rotundicauda) 的評價
carcinoscorpius rotundicauda 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最讚貼文
พอเข้าหน้าท่องเที่ยวทะเล เรื่อง "ห้ามกินไข่แมงดาถ้วย" ต้องเอากลับมาพบกันใหม่นะครับ ... เพราะนับวัน แมงดาจาน (หรือ แมงดาทะเลหางเหลี่ยม) ยิ่งเหลือน้อยลงทุกที เพราะคนไล่กินไข่ที่ไม่ค่อยมีพิษของมันเข้าไป จนจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว ... พ่อค้าแม่ค้าเลยเอาแมงดาถ้วย (ซึ่งก็เป็นแมงดาทะเลหางกลม หรือแมงดาไฟ หรือเห-รา) มาขายกันแล้วอ้างว่าไม่อันตราย ซึ่งไม่จริงนะครับ มีสิทธิต้องเสี่ยงดวงได้รับพิษจากมัน อันตรายมากครับ
--------
(เอาเนื้อหาเก่าที่เคยโพสต์ไว้ กลับมาให้อ่านกันนะ)
"แมงดาถ้วย ก็มีพิษนะ ไม่ควรกินครับ"
จริงๆ แล้ว แมงดาถ้วย กับ แมงดาไฟหรือเห-รา เนี่ย มันก็พวกเดียวกันแหล่ะครับ ... "แมงดาทะเล" ในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมงดาถ้วย หรือ แมงดาไฟ หรือเห-รา (Carcinoscorpius rotundicauda ) ซึึ่งเป็นแมงดาทะเลที่มีพิษจากสาร tetrodotoxin เตตราโดท็อกซิน และแมงดาจาน (Tachypleus gigas) ซึ่งเป็นแมงดาทะเลที่ไม่มีพิษ และชาวบ้านนำมาทำเป็นอาหารได้
โดยทั่วไป แมงดาถ้วย ตัวจะเล็กกว่า หางจะกลมและเรียบ ส่วนแมงดาจาน ตัวจะโตกว่า หางจะเป็นสามเหลี่ยม มุมด้านบนของสามเหลี่ยมจะเป็นรอยหยักชัดเจน
การเป็นพิษจากการรับประทานไข่แมงดาทะเลนั้น จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการชาตามปาก แขนขา แล้วตามด้วยอาการอัมพาต หรืออาจเสียชีวิตจากการหยุดหายใจเนื่องจากกล้ามเนื้อหายใจไม่ทำงาน เพราะสารพิษ tetrodotoxin หรือ saxitoxin จะยับยั้งการทำงานของ sodium channel ในกล้ามเนื้อโดยตรง
สาเหตุส่วนใหญ่ที่คนพลาดไปกินแมงดาถ้วยกัน ก็เพราะความเชื่อผิดๆ ของชาวบ้านแบบนี้แหล่ะว่า "ตัวเห-รามีพิษ แต่แมงดาถ้วยไม่มีพิษ" "ตัวเห-รามีขนและตาแดง แมงดาถ้วยไม่มีขนและ ตาดำ" ซึ่งผิด
แถมหลังๆ นี้ จำนวนของแมงดาจานมีน้อยลงอย่างมาก ขณะที่พบแมงดาถ้วยเพิ่มขึ้น (ในอัตราส่วนแมงดาจานต่อแมงดาถ้วย ถึง 1 : 100) ซึ่งผมเดาว่า ก็เพราะเราจับแมงดาจานมากินไข่กันเยอะเกินไปแล้ว จำนวนประชากรมันเลยลดลง
บางคนแย้งว่ากินแมงดาถ้วยแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไร คือ คุณก็โชคดีนะ ใน
ประเทศไทยเรานี้แมงดาถ้วยมีทั้งตัวที่มีพิษ บางตัวไม่มีพิษ หรือมีพิษประมาณ 30% แต่การที่เราไม่สามารถแยกตัวที่มีพิษกับตัวที่ไม่มีพิษออกจากกันด้วยลักษณะภายนอกได้ จึงไม่ควรกินอยู่ดี
สรุปว่า แมงดาทะเลตัวไหน "หางกลม" เนี่ย ห้ามกินทั้งนั้นนะ ไม่ว่าเค้าจะอ้างว่าเป็นแมงดาถ้วยก็ตาม
ข้อมูลความเป็นพิษของแมงดาถ้วย จาก https://med.mahidol.ac.th/poisoncenter/th/bulletin/bul95/v3n1/Hors_crab
-------
ข้อมูลเพิ่มเติมและภาพประกอบ จาก https://www.nstda.or.th/th/news/13084-horseshoecrab
รศ.ดร.ซุกรี หะยีสาแม คณบดีคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี นักวิชาการที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องแมงดาทะเล ให้ข้อมูลว่า แมงดาที่มีพิษ คือ แมงดาถ้วย โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงฤดูวางไข่ของแมงดาถ้วยจะพบมากในฝั่งอ่าวไทยโดยแมงดาถ้วยกำลังเริ่มวางไข่มาตั้งแต่เดือนธันวาคม และมีความหนาแน่นของไข่ที่พร้อมกินแต่มีความเป็นพิษสูง ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน ดังนั้นใครที่รับประทานไข่แมงดาช่วงนี้ไปจนถึงเดือนเมษายนให้รู้ไว้ว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นไข่แมงดาถ้วย ซึ่งมีพิษอันตรายถึงชีวิต
“ในอดีตชาวบ้านไม่นิยมกิน แต่เข้าใจว่าระยะหลังเริ่มมีชาวประมงนำแมงดาถ้วยมาขาย ซึ่งเมื่อก่อนไม่มีราคา แต่เพราะไข่ของแมงดาจานไม่มีพิษเริ่มถูกจับมาขายมากขึ้นจนจำนวนเริ่มลดน้อยลง จนบางพื้นที่ของไทยนำเข้าแมงดาจาน จากประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลัก ทำให้ไข่แมงดาจานมีราคาแพงจึงอาจจะมีการนำแมงดาถ้วยมาผสมขายและบริโภคแทนก็ได้ ซึ่งถือว่าอันตรายมาก”
รศ.ดร.ซุกรี กล่าวว่า แมงดาถ้วย หรือ แมงดาไฟ หรือ เหรา แล้วแต่จะเรียกชื่อต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ พบได้เยอะในประเทศไทยอาศัยอยู่ตามหาดโคลนปนทราย ลักษณะภายนอกจะมีกระดองโค้งกลมเหมือนถ้วย ตัวสีเข้มวางไข่ตามป่าชายเลย วิธีสังเกตง่ายๆ จากลักษณะกายภาพให้ดูที่โคนหางถึงกลางหางจะมีลักษณะกลมเหมือนแท่งดินสอ เป็นแมงดาที่มีพิษไม่นิยมนำไข่มารับประทาน เนื่องจากกินแล้วเมา ผู้มีอาการแพ้จะมีอาการปากชา พูดไม่ได้ แขนขาชา หายใจไม่ออก บางรายอาจมีอาเจียนร่วมด้วยและเสียชีวิต แมงดาถ้วย แมงดาจาน
สำหรับแมงดาชนิดที่นำไข่มารับประทานได้ คือ แมงดาจาน ในอดีตพบมากในประเทศไทยทั้งฝั่ง อันดามันและอ่าวไทย แต่ระยะหลังนี้เริ่มน้อยลงจนและเสี่ยงสูญพันธุ์ในฝั่งอ่าวไทย ลักษณะทางกายภาพลำตัวแบนกว้างเหมือนจาน หากสังเกตที่หางจะเป็นสามเหลี่ยมตั้งแต่โคนถึงกลางหาง ส่วนปลายหางจะแหลม อย่างไรก็ดีไข่แมงดาจาน จะมีพิษอยู่บ้างแต่ถือว่าน้อยมากจนไม่เกิดอันตราย คนจึงนิยมนำไข่แมงดาจานมารับประทาน โดยเฉพาะคนจีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ทำให้จำนวนประชากรแมงดาจานเริ่มเหลือน้อยมากในประเทศไทย จนกระทั่งในระยะหลังเริ่มมีการนำเข้าไข่แมงดาจานจากเพื่อนบ้านเข้ามาในประเทศไทย ทั้งนี้ในแง่ของการอนุรักษ์ประชากรแมงดาจาน อยากให้ประชาชนลดการรับประทานไข่แมงดาจานเพื่อเป็นการอนุรักษ์ประชากรแมงดาจานให้อยู่ในระบบนิเวศทางทะเลต่อไปด้วย
carcinoscorpius rotundicauda 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最佳解答
#เก็บตก3 "แมงดาถ้วย ก็เป็นแมงดาหางกลมนะ เสี่ยงอันตราย ไม่ควรกินครับ"
มีคนฟ้องว่า รายการทีวีหนึ่งทางช่องยูทูป เอาเมนู "ไข่แมงดาถ้วย" มานำเสนอ ผมเลยขอเอาบทความเก่าที่เคยเขียนไว้ มารีโพสต์นะครับ ว่า "แมงดาถ้วย" ก็เป็นแมงดาหางกลมนะครับ พวกเดียวกับแมงดาไฟ หรือ เหรา (เห-รา) ซึ่งผู้ที่กินเข้าไปนั้น มีโอกาสสูงที่จะได้รับพิษพวกเตตราโดท็อกซิน ที่เป็นอันตรายต่อระบบประสาทและอาจถึงแก่ชีวิตได้
เดี๋ยวนี้ "แมงดาจาน (แมงดาหางเหลี่ยม)" ที่ไม่มีพิษนั้น โดนคนจับกินกันไปเยอะมากจนหายากขึ้นทุกที และทำให้ชาวบ้านมักจะจับเอา "แมงดาถ้วย" มาขายให้เรากิน ซึ่งไม่ควรจะทำนะครับ แม้ว่าจะอ้างว่าเอาไปต้มแล้ว (แต่สารพิษนั้นทนความร้อนสูง) หรือมีวิธีตัดเส้นพิษออก (แต่พิษมันกระจายอยู่ทั้งในไข่และอวัยวะอื่นทั่วตัว) .. แถมว่าทำมาเป็นยำไข่แมงดาขายแล้ว คนกินก็จะเห็นแต่ไข่ ไม่รู้เลยว่าเค้าเอามาจากแมงดาชนิดไหน
จริงๆ ถึงเป็นแมงดาจาน ก็ควรจะเลิกกินได้แล้วนะ ผมว่าช่วยกันอนุรักษ์ไว้หน่อย ก่อนที่จะหมดทะเลไทย
-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-\-
"แมงดาถ้วย ก็มีพิษนะ ไม่ควรกินครับ"
อันนี้เรื่องใหญ่นะ มีคนฟ้องมาว่า ไปดูรายการท่องเที่ยวชิมอาหารของทีวีช่องหนึ่ง แล้วเค้าพาไปดูชาวบ้านจับแมงดาเอาไข่มาทำอาหาร แต่ในรายการนั้น ใช้ "แมงดาถ้วย" ซึ่งชาวบ้านบอกว่า ไม่อันตราย กินได้ คนละชนิดกับ "แมงดาไฟ (หรือ เห-รา)" เพราะดูที่ตาเป็นสีดำ ไม่ได้เป็นสีแดงเหมือนแมงดาไฟ ...อันนี้ ผิดๆๆๆ เลยนะครับ แมงดาถ้วย ก็มีพิษ อันตรายไม่แพ้แมงดาไฟนะ !!
จริงๆ แล้ว แมงดาถ้วย กับ แมงดาไฟหรือเห-รา เนี่ย มันก็พวกเดียวกันแหล่ะครับ ... "แมงดาทะเล" ในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ แมงดาถ้วย หรือ แมงดาไฟ หรือเห-รา (Carcinoscorpius rotundicauda ) ซึึ่งเป็นแมงดาทะเลที่มีพิษจากสาร tetrodotoxin เตตราโดท็อกซิน และแมงดาจาน (Tachypleus gigas) ซึ่งเป็นแมงดาทะเลที่ไม่มีพิษ และชาวบ้านนำมาทำเป็นอาหารได้
โดยทั่วไป แมงดาถ้วย ตัวจะเล็กกว่า หางจะกลมและเรียบ ส่วนแมงดาจาน ตัวจะโตกว่า หางจะเป็นสามเหลี่ยม มุมด้านบนของสามเหลี่ยมจะเป็นรอยหยักชัดเจน
การเป็นพิษจากการรับประทานไข่แมงดาทะเลนั้น จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการชาตามปาก แขนขา แล้วตามด้วยอาการอัมพาต หรืออาจเสียชีวิตจากการหยุดหายใจเนื่องจากกล้ามเนื้อหายใจไม่ทำงาน เพราะสารพิษ tetrodotoxin หรือ saxitoxin จะยับยั้งการทำงานของ sodium channel ในกล้ามเนื้อโดยตรง
สาเหตุส่วนใหญ่ที่คนพลาดไปกินแมงดาถ้วยกัน ก็เพราะความเชื่อผิดๆ ของชาวบ้านแบบนี้แหล่ะว่า "ตัวเห-รามีพิษ แต่แมงดาถ้วยไม่มีพิษ" "ตัวเห-รามีขนและตาแดง แมงดาถ้วยไม่มีขนและ ตาดำ" ซึ่งผิด
แถมหลังๆ นี้ จำนวนของแมงดาจานมีน้อยลงอย่างมาก ขณะที่พบแมงดาถ้วยเพิ่มขึ้น (ในอัตราส่วนแมงดาจานต่อแมงดาถ้วย ถึง 1 : 100) ซึ่งผมเดาว่า ก็เพราะเราจับแมงดาจานมากินไข่กันเยอะเกินไปแล้ว จำนวนประชากรมันเลยลดลง
บางคนแย้งว่ากินแมงดาถ้วยแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไร คือ คุณก็โชคดีนะ ในประเทศไทยเรานี้แมงดาถ้วยมีทั้งตัวที่มีพิษ บางตัวไม่มีพิษ หรือมีพิษประมาณ 30% แต่การที่เราไม่สามารถแยกตัวที่มีพิษกับตัวที่ไม่มีพิษออกจากกันด้วยลักษณะภายนอกได้ จึงไม่ควรกินอยู่ดี
สรุปว่า แมงดาทะเลตัวไหน "หางกลม" เนี่ย ห้ามกินทั้งนั้นนะ ไม่ว่าเค้าจะอ้างว่าเป็นแมงดาถ้วยก็ตาม .. ส่วนรายการทีวีนี้ ก็รบกวนขอให้แก้ไขด้วยเถอะ ไม่งั้นชาวบ้านได้ตายฟรีๆ กันอีกเยอะด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง
ข้อมูลความเป็นพิษของแมงดาถ้วย จาก https://med.mahidol.ac.th/…/th/bulletin/bul95/v3n1/Hors_crab
carcinoscorpius rotundicauda 在 The Story เรื่องเล่า เล่าเรื่อง Youtube 的最佳貼文
ติดตาม Facebook คลิก ► https://www.facebook.com/TheStory9
ดูคลิป The Story ทั้งหมด คลิก ► https://www.youtube.com/playlist?list=PLFC7PXzO-8rx6zLyjRj2QdM3bD5XtphcX
เลือดสีฟ้าของแมงดาทะเล มีคุณประโยชน์มหาศาลทางการแพทย์ ช่วยรักษาคนได้
carcinoscorpius rotundicauda 在 SunitJo Travel Youtube 的最佳解答
แมงดาจาน จานบินทะเล หลงยุค ตัวใหญ่มากๆ..
แมงดาจาน (อังกฤษ: Giant king crab, Coastal horseshoe crab; ชื่อวิทยาศาสตร์: Tachypleus gigas) เป็นแมงดาทะเลเพียงหนึ่งในสองชนิดที่พบได้ในประเทศไทย (อีกหนึ่งชนิดนั้นคือ แมงดาถ้วย (Carcinoscorpius rotundicauda) และจัดเป็นหนึ่งในชนิดที่อยู่ในสกุล Tachypleus (อีกหนึ่งชนิดนั้นคือ แมงดาญี่ปุ่น (T. tridentatus))
มีลักษณะกระดองแบนราบและกว้างกว่าแมงดาถ้วย หางมีลักษณะเป็นสันนูนขึ้นมาเป็นสามเหลี่ยม มีสันซึ่งมีหนามเล็ก ๆ เรียงเป็นแถวตามความยาวอยู่ตรงกลางด้านบนของหาง ตัวผู้มีขอจับพองออกเป็นกระเปาะ 2 คู่ ตัวเมียมีหนามบริเวณขอบด้านข้างของส่วนท้องขนาดยาว 3 คู่แรก และสั้น 3 คู่หลังในตัวผู้มีขนาดความยาวใกล้เคียงกัน ด้านท้องมีสีน้ำตาลอ่อนและมีสีเข้มตอนขอบหน้า ขนาดใหญ่สุดมีความกว้างของกระดอง ไม่เกิน 25 เซนติเมตร หรือประมาณเท่าจานข้าวใบใหญ่ อันเป็นที่มาของชื่อ สีของกระดองอ่อนกว่าแมงดาถ้วย ความยาวของกระดองประมาณ 35-40 เซนติเมตร พบกระจายทั่วไปในเขตชายฝั่งของมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย, ทางตะวันออกของอ่าวเบงกอล, อินโดนีเซีย, เวียดนาม, ซาราวัก, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ไทย ไปจนถึงจีน สำหรับในประเทศไทยซึ่งพบแพร่กระจายชุกชุมทั้ง 2 ฟาก ในฝั่งทะเลอันดามันพบได้ตั้งแต่บริเวณ จังหวัดสมุทรสาคร, สมุทรสงคราม, เพชรบุรีถึงชุมพร ในฝั่งอ่าวไทยพบได้ที่ จังหวัดสมุทรปราการ, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรีจนถึงจันทบุรี
carcinoscorpius rotundicauda 在 Mangrove horseshoe crab (Carcinoscorpius rotundicauda) 的必吃
Mangrove horseshoe crab (Carcinoscorpius rotundicauda). Photo by. Arthur Anker. on. flickr. ·. CMBS Singapore. Read it. Save. Read it. Save. More like this. ... <看更多>