สรุปประเด็นจากห้อง Clubhouse ทำไมคนไทยไม่ควรพลาด ในการลงทุนหุ้นเทคโนโลยี ?
BBLAM x ลงทุนแมน
หลังจาก ลงทุนแมน ได้ชวนผู้เชี่ยวชาญหุ้นเทคโนโลยีจากกองทุนบัวหลวง
มาร่วมพูดคุยในเรื่องหุ้นเทคโนโลยีกันแบบเจาะลึก เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2564 ที่ผ่านมา
โดยมี 2 Speakers มากประสบการณ์จากกองทุนบัวหลวง ได้เปิดเผยข้อมูลน่าสนใจมากมาย
- คุณเศรณี นาคธน AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
- คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, AVP, Portfolio Management กองทุนบัวหลวง
สถานการณ์ความท้าทาย, โอกาสในอนาคต รวมทั้งแนวทางการลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง
คำถามที่ 1 : หุ้นเทคโนโลยีจะกลับมาอีกครั้งหรือยัง ?
สังเกตไหมว่าในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเทคโนโลยีให้ผลตอบแทนได้ดีมาโดยตลอด
โดยในปีนี้ ดัชนีที่รวบรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Nasdaq ก็ให้ผลตอบแทน 12%
ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บอกว่านักลงทุนเริ่มกลับมาให้ความสนใจหุ้นเทคอีกครั้ง
อย่างในช่วงโควิดที่ผ่านมา เราก็คงได้มีโอกาสใช้บริการแพลตฟอร์มเทคโนโลยีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Grab, Lazada, Shopee หรือ Netflix
แต่ถ้าถามว่ามุมมองต่อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในอนาคตจะเป็นอย่างไร ?
แน่นอนว่า สิ่งที่จะทำให้โลกขับเคลื่อนต่อไปได้ก็คือเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสินค้าหรือบริการ ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีในการพัฒนา ให้ถูกขึ้น ดีขึ้น และเร็วขึ้น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่
รวมไปถึงเรื่องของสังคมผู้สูงวัยทั่วโลก ส่งผลให้แรงงานมีจำนวนน้อยลง จึงต้องพึ่งพาเทคโนโลยีอย่าง หุ่นยนต์ หรือ AI เพิ่มมากขึ้น หรือแม้แต่แนวโน้มการนำเทคโนโลยีเข้ามาผสมกับการแพทย์อื่น ๆ เช่น การหาหมอออนไลน์, การเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ, 3D printing ฯลฯ
ซึ่งถ้าถามว่าถึงเวลาของหุ้นเทคโนโลยีหรือยัง ก็จะเห็นได้ว่า ตลาดเริ่มส่งสัญญาณบวกแล้ว เพราะแม้จะมีความชัดเจนในเรื่องการปรับขึ้นดอกเบี้ย แต่หุ้นเทคในช่วงที่ผ่านมาก็ยังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งคุณเอมได้เสริมว่า ทุกวันนี้ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นเทคโนโลยียังไม่เปลี่ยนแปลง และกำไรยังเติบโต อีกด้วย จากเหตุผลที่ว่ามานี้หุ้นเทคโนโลยีจึงเป็น Theme ลงทุนหลักของโลกในระยะต่อไปแน่นอน
คำถามที่ 2 : “เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ย” ส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยีอย่างไร ?
ปกติแล้ว การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย หรืออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) จะส่งผลต่อหุ้นเทคโนโลยี 2 เรื่องสำคัญ นั่นคือ
- ต้นทุนในการกู้ยืมเงินของบริษัท เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ต้นทุนในการกู้ยืมเงินก็จะสูงตามไปด้วย
- การประเมินมูลค่าหุ้นแบบ Dividend Discount Model (DDM) เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อัตราคิดลดก็จะเพิ่มขึ้น เมื่อคิดเป็นมูลค่าหุ้นกลับมา จึงทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีลดลง
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นเทคโนโลยีค่อนข้างอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ย นั่นเอง
ซึ่งในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว หลายประเทศเริ่มเปิดเมืองและมีการเร่งฉีดวัคซีน
จึงเป็นไปได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงคาดว่า Bond Yield ต้องปรับตัวขึ้นอย่างแน่นอน
ซึ่ง Bond Yield อายุ 10 ปีของสหรัฐฯ ก็เคยปรับขึ้นไปสูงถึงเกือบ 1.8% จากเดิมที่มีตัวเลข 1%
แต่แล้ว.. เมื่อประกาศอัตราเงินเฟ้อออกมาสูงตามที่นักลงทุนคาดไว้จริง ๆ Bond Yield ที่ปรับขึ้นมารออยู่แล้ว จึงเริ่มกลับปรับตัวลดลง ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง หรือที่เรียกว่า Real Yield ที่คำนวณจาก Bond Yield หลังหักเงินเฟ้อคาดการณ์ ยังอยู่ในระดับต่ำ -0.8%
สะท้อนได้ว่า ผลตอบแทนพันธบัตรไม่น่าจะเอาชนะเงินเฟ้อได้
จึงส่งผลให้การลงทุนในตลาดหุ้นกลับมาน่าสนใจ จากนั้นมาหุ้นเทคโนโลยีก็เริ่มปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ
นอกจากนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) ผ่านเครื่องมือ Dot Plot
ยังมองว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ (Fed Fund Rate) อาจเกิดขึ้น 2 ครั้งภายในปี 2023
ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เร็วกว่าที่นักลงทุนคาดไว้
นักลงทุนจึงมองว่า ยิ่งการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยมาเร็วมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดอัตราเงินเฟ้อย่อมลดลง
ดังนั้น Bond Yield คงไปต่อได้ไม่ไกล จึงน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น รวมทั้งหุ้นเทคโนโลยี อีกด้วย
คำถามที่ 3 : ปัจจัยใดส่งผลต่อ “การปรับฐานของหุ้นเทคโนโลยี” ในตอนนี้ ?
ปัจจัยแรกคือ Bond Yield
หากถามว่า Bond Yield เท่าไรถึงจะส่งผลต่อตลาดหุ้น คำตอบจากการสำรวจของ Bank of America นั้นอยู่ที่ 2.5% ซึ่งปัจจุบันนี้ อัตราดอกเบี้ยยังคงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ บวกลบไม่เกิน 1.5%
ดังนั้น กว่าที่ Bond Yield จะปรับตัวสูงถึงระดับนั้น อาจใช้เวลานาน ตลาดหุ้นถึงจะเริ่มปรับฐาน
ปัจจัยที่สองคือ Sector Rotation
เมื่อต้นปีเกิดแรงขายของหุ้นเทคโนโลยี ไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรที่จะได้ประโยชน์จากการเปิดเมือง
โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาปรับสูง จนกลายเป็น Commodity Supercycle
สะท้อนได้ว่า สินค้าโภคภัณฑ์กลายเป็น Most Crowded Trade ที่อาจเข้าใกล้จุดสูงสุดไปแล้ว
ดังนั้น เมื่อนักลงทุนเริ่มคลายกังวลในเรื่องอัตราเงินเฟ้อ บวกกับผลประกอบการของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีที่ออกมาดี จึงเป็นเหตุผลให้นักลงทุนเริ่มกลับมาลงทุนหุ้นเทคโนโลยีอีกครั้ง
ปัจจัยสุดท้ายที่หลายคนกังวลคือ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น คนยังจะพึ่งพาเทคโนโลยีอยู่หรือไม่ ?
ซึ่งต้องยอมรับว่า พฤติกรรมหลาย ๆ อย่างได้กลายเป็น New Normal ไปเรียบร้อยแล้ว
อาทิ Work From Home, การช็อปปิงออนไลน์, การสั่งอาหารแบบ Delivery
สิ่งเหล่านี้สะท้อนได้ว่า ปัจจัยพื้นฐานการใช้เทคโนโลยีจะยังคงอยู่ต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง
คำถามที่ 4 : “QE Tapering” กระทบหุ้นเทคโนโลยีหรือไม่ ?
การปรับลดวงเงินในการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ที่เรียกว่า QE Tapering
แม้ว่าจะมีวงเงินลดลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในสถานะอัดฉีดเงินอยู่ดี
โดย QE Tapering เป็นหนึ่งในสัญญาณชี้ว่า สภาวะเศรษฐกิจอาจดีขึ้นแล้วจริง ๆ
เพราะแม้ว่า FED จะลดวงเงินอัดฉีดเงิน แต่เศรษฐกิจและภาคธุรกิจก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้
สะท้อนได้ว่า เราอาจจะกำลังอยู่ในช่วง Mid-cycle ของวงจรเศรษฐกิจ
ซึ่ง Mid-cycle จะเป็นช่วงที่ระดับอัตราดอกเบี้ยไม่ได้สูงมาก และเศรษฐกิจยังโตต่อเนื่องได้
โดยปกติแล้วจะส่งผลดีต่อกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวก
ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าความกังวลเรื่องสภาพคล่องก็ถูก Price In ไปแล้วบางส่วน
เมื่อทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่ากลุ่มหุ้นเทคโนโลยีก็พร้อมจะไปต่อได้
นอกจากนี้ ต้องให้เครดิตคุณเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ
ผู้เป็นสุดยอดนักสื่อสาร และเข้าใจตลาดการลงทุน ซึ่งการค่อย ๆ ออกมาพูด ทำให้ตลาดปรับตัวได้
ที่น่าสนใจคือ หุ้นเทคโนโลยีตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา มีเพียงปีเดียวที่ให้ผลตอบแทนที่เป็นลบ คือปี 2018 ที่ให้ผลตอบแทน -1.1% จากมรสุมลูกใหญ่ อาทิ Trade War, ทรัมป์ ทวีต และการประกาศขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีเดียว ส่วนปีอื่นๆ ล้วนให้ผลตอบแทนในอัตราเลขสองหลัก
สะท้อนได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ และให้ผลตอบแทนที่ดีได้
คำถามที่ 5 : ถ้าอนาคตเกิด “การดูดกลับสภาพคล่อง” หุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม ?
ก่อนหน้านี้ สภาพคล่องได้กระจายตัวไปทั่วตลาดหุ้น แม้แต่ในหุ้นที่ขาดทุนไม่มีกำไร
ดังนั้น เมื่อสภาพคล่องลดลง หุ้นที่มีคุณภาพและมีกำไร เชื่อว่าจะยังไปต่อได้
ต่างจากหุ้นพื้นฐานไม่ดี ยังไม่มีกำไร คงยากที่จะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในปีนี้
ทีนี้น่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ไม่ใช่หุ้นเทคทุกตัว ที่จะน่ากลัวเสมอไป
หนึ่งวิธีที่จะช่วยเฟ้นหาหุ้นเทคในช่วงเวลานี้คือ วิธี Bottom Up
ซึ่งจะเป็นการวิเคราะห์หุ้นด้วยปัจจัยพื้นฐานจากตัวธุรกิจ ไปยังกลุ่มอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจ
ตัวอย่างเช่น Shopify ธุรกิจ E-commerce แบบครบวงจรสัญชาติแคนาดา ทั้งในด้านการตลาด โกดังเก็บของ และบริการขนส่งสินค้า แม้จะมี P/E สูงมาก แต่ก็สร้างกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเท่าตัว และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องได้ นักลงทุนจึงได้เข้าไปลงทุนจนราคาหุ้นปรับตัวสูง 150% ในปีที่ผ่านมา
ดังนั้น คำตอบของคำถามที่ว่าหุ้นเทคโนโลยีจะยังไปต่อไหม จึงขึ้นอยู่กับการเลือกหุ้น นั่นเอง
โดยลักษณะหุ้นที่มีโอกาสไปต่อก็คือ หุ้นที่ยังไม่แพง หุ้นที่มีกำไรสม่ำเสมอ และเป็นหุ้นใหญ่
อาทิ หุ้นกลุ่ม FAANG, หุ้นกลุ่ม Software-as-a-Service (SaaS) ที่ให้บริการในด้านซอฟต์แวร์ที่มี Recurring Income หรือมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอ และราคาหุ้นยังไม่แพง ก็น่าจะยังไปต่อได้
คำถามที่ 6 : หุ้นเทคโนโลยี “ลงทุนระยะยาว” ได้ไหม ?
หลายคนอาจจะยังไม่กล้าถือหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาวเพราะกลัวปัจจัยเรื่องดอกเบี้ย
ซึ่งคำถามสำคัญคือ หากมีการขึ้นดอกเบี้ยจริง ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ?
อิงจากสถิติตั้งแต่ช่วงปี 1990 จนถึงปัจจุบัน FED ได้มีการขึ้นดอกเบี้ยทั้งหมด 7 ครั้ง บวกการทำ QE Tapering อีก 1 ครั้ง
ผลปรากฏว่า Sector ที่ให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้มาโดยตลอดก็คือ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และยังให้ผลตอบแทนเป็นบวกมากที่สุดเมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ
หรืออย่างในปัจจุบันเอง ที่มีปัจจัยมากระทบมากมาย อย่างเรื่อง Sector Rotation, ภาษีนิติบุคคลฉบับใหม่, กฎหมายเรื่องการผูกขาด แต่กองทุน B-INNOTECH ยังคงเติบโตกว่า 17%
ดังนั้น ทางกองทุนบัวหลวงก็มองว่า อาจไม่จำเป็นต้องดู Timing มาก แต่ให้เน้นจัดพอร์ตการลงทุนโดยให้คงสัดส่วนหุ้นเทคโนโลยีไว้ เพราะถือเป็น Sector ที่มีโอกาสเติบโตได้ดี เมื่อเทียบกับ Sector อื่น ๆ ในตลาด
คำถามที่ 7 : ตอนนี้ “ควรเลือกลงทุน” หุ้นเทคโนโลยี อย่างไรดี ?
หุ้นเทคโนโลยีในช่วงนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็นหลัก ๆ 3 ประเภท คือ
1. กลุ่ม Hardware เช่น อุปกรณ์ไอที คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร อย่างบริษัท HP หรือ Logitech
2. กลุ่ม Software as a Service หรือว่าซอฟต์แวร์ที่ใช้ในบริษัทองค์กรใหญ่ ๆ เช่น Microsoft Office, Salesforce (CRM) และ ServiceNow
3. กลุ่ม Semiconductor เช่น ชิปเซต การ์ดจอ อย่าง TSMC และ NVIDIA
ซึ่งกลุ่มที่ 2 และ 3 นั้นตลาดจะให้ P/E ค่อนข้างสูง เนื่องจากมีอัตราการเติบโตของกำไรที่สูง ต่างกับกลุ่มที่ 1 ที่อาจเติบโตได้ดีแค่ในช่วงโควิด แต่เป็นสินค้าที่คนไม่ได้ซื้อบ่อย ทำให้ตลาดยังให้ราคาค่อนข้างต่ำ
อย่างบริษัท NVIDIA ผู้ผลิตการ์ดจอ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของนักขุดเหรียญคริปโทฯ ที่มี P/E สูงถึง 76 เท่า แต่ก็มีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น ในไตรมาสที่ผ่านมาสูงถึง 100% ในขณะที่กลุ่ม Hardware อย่าง HP หรือ Logitech นั้นจะมี P/E อยู่ที่ประมาณ 20 เท่า เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า หุ้นเทคโนโลยีแต่ละกลุ่มนั้น ให้ผลตอบแทนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้น การเลือกกองทุนที่มีนโยบายบริหารแบบ Active Management หรือ กองทุนที่มีเป้าหมายเพื่อเอาชนะดัชนีอ้างอิง จึงเป็นนโยบายที่เหมาะกับการลงทุนใน Theme เทคโนโลยีนี้ เพราะจะช่วยให้กองทุนมีความยืดหยุ่นในการคัดเลือกหุ้นมากขึ้น โดยสามารถเลือกลงทุนในหุ้นที่เห็น Upside ได้เยอะกว่าได้ เมื่อเทียบกับแบบ Passive Management ที่ลงทุนอิงตามดัชนีเท่านั้น
คำถามที่ 8 : แล้ว “B-INNOTECH” เลือกหุ้นเทคโนโลยีเข้าพอร์ตอย่างไร ?
วิธีคัดเลือกหุ้นของผู้จัดการกองทุน Fidelity ซึ่งเป็นกองทุนหลักของ B-INNOTECH
จะประกอบไปด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ นั่นคือ
- Growth คือ หุ้นบริษัทที่เน้นการสร้างนวัตกรรมทันสมัย มีแนวโน้มเติบโต และเป็นผู้นำได้ในระยะยาว
- Cyclical คือ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และที่จะเติบโตไปตามสภาพเศรษฐกิจได้
ตัวอย่างเช่น หุ้นผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ Semiconductor ที่จะยังเติบโตต่อไปได้
- Special Situation คือ หุ้นบริษัทคุณภาพในช่วงเวลาไม่ปกติ
เมื่อกองทุนเห็นบริษัทคุณภาพที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
หากบริษัทนั้น มีโอกาสฟื้นตัวได้สูง น่าสนใจในอนาคต ก็จะเข้าไปลงทุนเก็บสะสมไว้
ดังนั้น การเลือกหุ้นเทคโนโลยีของกองทุน B-INNOTECH ที่มักจะลงทุนในหุ้นใหญ่
ลักษณะไม่หวือหวา เช่น Alphabet, Microsoft
ด้วยพื้นฐานของการประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสม เป็นธุรกิจผู้นำในกลุ่ม
รวมทั้งเป็นธุรกิจมีรายได้และกำไรที่มีคุณภาพ และต้องเติบโตต่อเนื่องในอนาคตด้วย
ซึ่งการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีขนาดใหญ่, ธุรกิจเทคโนโลยีพื้นฐาน และเทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินการค่อยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลให้ B-INNOTECH เป็นกองทุนที่มีความผันผวนที่ค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับกองทุนเทคโนโลยีและ Innovation อื่น ๆ อีกด้วย
ทั้งหมดนี้ สะท้อนได้ว่า B-INNOTECH เป็นอีกหนึ่งกองทุนหุ้นเทคโนโลยีที่น่าสนใจเลยทีเดียว ในตอนนี้..
คำเตือน:
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า ข้อมูลสำคัญ นโยบายการลงทุน เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนการตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อนู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
crm คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
ทรูมันนี่ วอลเล็ท เปิดมินิแอปฯ ระบบสมาชิก ช่วยให้ร้านค้า เพิ่มลูกค้าใหม่และรักษาฐานลูกค้าเก่า
ทรูมันนี่ วอลเล็ท x ลงทุนแมน
หากเราอยากเป็นคนที่ ดูแลลูกค้าให้ได้ดีที่สุด อยากเป็นคนส่งมอบสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ได้อย่างตรงจุด
แต่เราไม่รู้จักและไม่มีข้อมูลของลูกค้าเลย แล้วเราจะทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร..
ดังนั้นหนึ่งในสิ่งที่หลายแบรนด์ทำ คือ “การทำระบบสมาชิก”
หรือที่เรียกกันว่า CRM (Customer Relationship Management)
เพื่อให้แบรนด์สามารถออกแคมเปนการตลาดที่น่าสนใจ ออกคูปองส่วนลดที่เหมาะสม
รวมไปถึงการให้ลูกค้าที่ใช้จ่ายกับแบรนด์เป็นประจำ ได้สะสมแต้ม แลกรีวอร์ด
เพื่อเป็นการรักษากลุ่มลูกค้าเก่า และเป็นการดึงดูดลูกค้าใหม่ได้อีกด้วย
แต่การจะต้องจ้างคน มาช่วยสร้างระบบสมาชิกผ่านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ของตัวเอง
คงไม่ใช่เรื่องง่ายและแน่นอนว่าต้องใช้ต้นทุนที่เยอะ
ทรูมันนี่ วอลเล็ท จึงเปิดมินิแอปฯ ระบบสมาชิกครบวงจร “Membership Mini Program”
บนแอปพลิเคชันทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 17 ล้านคน
เพื่อให้ร้านค้าต่าง ๆ ได้ขยายการเติบโต ในช่วงวิกฤติโควิด 19
แล้ว Membership Mini Program บนทรูมันนี่ วอลเล็ท น่าสนใจอย่างไร
ทำไมถึงเข้ามาช่วยร้านค้าและแบรนด์ต่าง ๆ ได้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง..
Membership Mini Program เป็นมินิแอปพลิเคชันบนทรูมันนี่ วอลเล็ท
ที่มาพร้อมกับแพลตฟอร์มบริหารจัดการระบบสมาชิกลูกค้าแบบครบวงจร สำหรับร้านค้า
เพื่อขยายฐานลูกค้าสู่กลุ่มผู้ใช้งานทรูมันนี่กว่า 17 ล้านราย
ซึ่งโปรแกรมนี้ถือเป็นเครื่องมือทางการตลาดสำคัญ ที่ทำให้ร้านค้าได้รับข้อมูลลูกค้า
รวมถึงเข้าใจพฤติกรรมการใช้จ่าย และทำให้ร้านค้าสามารถสร้างสรรค์แคมเปนการตลาด
ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แล้วใน Membership Mini Program มีฟีเจอร์หลัก ๆ อะไรบ้าง ?
1. แสดงปุ่มโลโก้เแบรนด์ของร้านค้าบนแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet
ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มการรับรู้ให้กับแบรนด์ และภายในแอปพลิเคชันนี้มีผู้ใช้งานกว่า 17 ล้านคน
2. ลูกค้าของแต่ละแบรนด์ สามารถกดสมัครสมาชิกได้ในคลิกเดียว (One-click Subscription)
ลูกค้าที่สมัครไม่ต้องกรอกข้อมูลใหม่ เนื่องจากหลังจากกดอนุญาต ก็สามารถเชื่อมโยงฐานข้อมูลผู้ใช้ (เช่น ชื่อ-นามสกุล อายุ เพศ ที่อยู่ ข้อมูลติดต่อ ฯลฯ) กับบัญชีทรูมันนี่ได้เลย นอกจากนี้ ข้อมูลยังมีความแม่นยำและปลอดภัย เนื่องจากผ่านขั้นตอนการยืนยันตัวตนของแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet มาแล้ว
3. มอบคูปองส่วนลดหรือข้อเสนอกิจกรรมการตลาดแก่ลูกค้า
ภายในระบบของ Membership Mini Program จะมีการมอบคูปองส่วนลดหรือข้อเสนอกิจกรรมการตลาดแก่ลูกค้าผ่าน e-coupon ในแอปพลิเคชัน เพื่อเพิ่มยอดขาย ซึ่งสามารถรองรับคูปองออนไลน์สำหรับใช้บนเว็บไซต์ร้านค้าได้ด้วย
4. มีระบบเก็บสะสมและแลกคะแนนสำหรับลูกค้า
มีการเก็บคะแนนสะสมและแลกคะแนนสำหรับลูกค้าสมาชิกที่ใช้จ่ายผ่าน TrueMoney Wallet ที่ร้านค้า พร้อม Rewards e-Catalogue ที่ชื่อ Point Mall แสดงรายการของรางวัล/คูปองที่ลูกค้าสามารถแลกได้
5. การสะสมคะแนนอัตโนมัติ (Auto Point Collection) ผ่านการใช้จ่ายด้วย TrueMoney Wallet โดยไม่ต้องโชว์บัตร หรือบอกเบอร์
ซึ่งสะดวกทั้งลูกค้า และลดภาระงานให้กับทางร้านค้า
6. ร้านค้าสามารถแสดงรายการสินค้า พร้อมรูปและราคา ในรูปแบบ Product e-Catalogue/Online Menu ซึ่งสามารถแยกประเภทและหมวดหมู่ หรือตามสาขาได้
และร้านอาหารสามารถใช้ฟีเจอร์นี้ เป็นเมนูออนไลน์ของร้านได้
7. ส่งข้อความอัตโนมัติ (Auto Push Notification) หาลูกค้า ตามพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า
เช่น ส่งหาลูกค้าที่ไปใช้จ่ายที่ร้านประจำแต่ยังไม่เป็นสมาชิกให้มาสมัครสมาชิก เป็นการหาสมาชิกให้ทางร้านค้าอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
ส่งหาสมาชิกที่สมัครมาแล้วแต่ยังไม่มาเก็บคูปองให้ไปใช้คูปองก่อนหมดอายุ
หรือคอยแจ้งเตือนคะแนนสะสมของลูกค้าให้นำคะแนนไปใช้ เพื่อสร้างการกลับมาใช้จ่ายที่ร้านค้าอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้สำหรับร้านค้าที่มีระบบสมาชิกเดิมอยู่แล้ว และไม่อยากให้ซ้ำซ้อนกับระบบสะสมคะแนนเดิมที่มี ทางทรูมันนี่ก็มีโชลูชั่นทางเลือก “Coupon Mini Program” ที่อนุญาติให้ร้านค้าสามารถตัดฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องกับการสะสมหรือแลกคะแนนออกไปได้ โดยยังคงได้ฟีเจอร์ล้ำ ๆ อย่างอื่นอยู่ เช่น E-Coupon สมัครสมาชิกคลิกเดียว การส่งข้อความอัตโนมัติตามพฤติกรรม (Auto Push Notification) ฯลฯ เพื่อเป็นการขยายฐานลูกค้าของทางร้าน
โดยไม่ว่าจะเป็นโซลูชันรูปแบบใด สิ่งที่เป็นจุดเด่นของแพลตฟอร์มนี้คือ “การได้ข้อมูลของลูกค้า” ที่สามารถนำไปวิเคราะห์ทางการตลาดต่อไปได้
หากเรามาลองนึกดู ทรูมันนี่ วอลเล็ทเองก็ค่อนข้างมีจุดแข็งในเรื่องของ “ข้อมูล” เมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ เนื่องจากเป็นแอปบริการทางการเงิน ที่ผู้ใช้บริการต้องมีการยืนยันตัวตน (e-KYC) ทุกคน แตกต่างจากช่องทาง social ต่าง ๆ ที่ลูกค้าอาจปลอมบัญชี หรือจะมีกี่บัญชีก็ได้ ทำให้แบรนด์ที่มาร่วม Mini Program ได้รับข้อมูลที่แม่นยำและสามารถดูแลลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างตรงจุด รวมไปถึงมี “ข้อมูลการใช้จ่าย” ที่เชื่อมโยงกับการรับชำระเงินด้วยทรูมันนี่ วอลเล็ท ที่ช่วยให้ร้านค้าวิเคราะห์เชื่อมโยงพฤติกรรมของลูกค้าได้ไปในอีกระดับ
และที่น่าสนใจก็คือ แพลตฟอร์มทั้งหมดนี้ ได้มีการออกแบบให้ทั้งร้านค้าและลูกค้าใช้งานได้ง่าย
โดยร้านค้าสามารถปรับแต่งหน้าตาของ Mini Program สำเร็จรูปได้ด้วยตนเอง
รวมทั้งสามารถติดตามพฤติกรรมการใช้จ่ายและการใช้สิทธิประโยชน์ของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หรือหากต้องการความช่วยเหลือ ทางทรูมันนี่ก็มี Technical Support พร้อมดูแลตลอด 24 ชั่วโมง
สำหรับผู้ประกอบการหรือร้านค้าที่สนใจบริการ “Membership Mini Program” ในแอปพลิเคชัน TrueMoney Wallet สามารถคลิกดูรายละเอียดต่าง ๆ และลงทะเบียนเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับได้ที่ https://tmn.app.link/LTMMINIPROLP หรือติดต่อทาง LINE: @tmnminiprogram
ช่องทางดาวน์โหลดแอปพลิเคชันทรูมันนี่ วอลเล็ท https://tmn.app.link/LTMMINIPRODL
อย่าลืมว่าช่วงเวลานี้คือช่วงที่ลูกค้า มีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เปลี่ยนไป
หลายคนต่างเข้ามาทำธุรกรรมทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์กันมากขึ้น ซึ่ง “e-Wallet” คือหนึ่งในนั้น
หากร้านค้าและธุรกิจต่าง ๆ เข้าไปอยู่ในที่ที่ลูกค้าสามารถมองเห็นเราได้บ่อย ๆ
และร้านค้าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ตรงนี้ ในการเก็บข้อมูล เพื่อให้เราได้เข้าใจลูกค้า
แน่นอนว่าการมีแอปพลิเคชันรูปแบบนี้เกิดขึ้น ก็คงจะช่วยสร้างความได้เปรียบให้กับร้านค้าได้ไม่น้อย..
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ..
Boston Consulting Group (BCG) บริษัทที่ปรึกษาข้อมูลทางธุรกิจ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้เงินสด ในปี 2020
พบว่า การใช้ e-Wallet ของคนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 84% ภายในปี 2568 เพราะ e-Wallet ช่วยให้ผู้คนจับจ่ายใช้สอยได้อย่างคล่องตัว ลดความกังวลเรื่องความสะอาด
#TrueMoneyWallet #ทรูมันนี่วอลเล็ท #TrueMoneyMiniProgram
References:
- เอกสารประชาสัมพันธ์ของทรูมันนี่ วอลเล็ท
- https://theaseanpost.com/article/e-wallet-adoption-rise-asean
crm คือ 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
IIG x ลงทุนแมน
IIG บริษัทที่ปรึกษายุคดิจิทัล กำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์
Digital Transformation หรือการปรับตัวทางธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัลถือเป็น
หนึ่งในเมกะเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นกับหลายองค์กรตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา
หากเราลองมาดูมูลค่าของการปรับโครงสร้างทางธุรกิจดิจิทัลทั่วโลก
ปี 2560 มูลค่า 31.7 ล้านล้านบาท
ปี 2561 มูลค่า 37.4 ล้านล้านบาท
ปี 2562 มูลค่า 41.2 ล้านล้านบาท
คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย 14% ต่อปี
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าหลายบริษัทกำลังปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจยุคใหม่
ซึ่งหนึ่งในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์ก็คือ ธุรกิจที่ปรึกษา
โดยเฉพาะผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการปรับองค์กรยุคดิจิทัล
สำหรับวันนี้ เรามารู้จักกับผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้
อย่างบริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป หรือ IIG
ที่กำลังจะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
แล้วบริษัทแห่งนี้ ทำธุรกิจอะไรบ้าง?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
IIG เป็นบริษัททำธุรกิจที่ปรึกษา และมีความเชี่ยวชาญ
เรื่องการออกแบบ และติดตั้งซอฟต์แวร์องค์กร
โดยปัจจุบันทางบริษัทแบ่งลักษณะการทำธุรกิจออกเป็น 4 ส่วน
เริ่มต้นที่ธุรกิจแรก คือ ธุรกิจให้คำปรึกษา และบริการออกแบบติดตั้ง
ระบบวางแผนทรัพยากรองค์กร (ERP) และจำหน่ายซอฟต์แวร์ Oracle
อีกส่วนก็คือ ธุรกิจให้คำปรึกษา และบริการออกแบบติดตั้ง ระบบ
บริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) และจำหน่ายซอฟต์แวร์ Salesforce
นอกเหนือจากการเป็นผู้ออกแบบ และติดตั้งซอฟต์แวร์องค์กรแล้ว
IIG ก็ยังมีธุรกิจที่ปรึกษาด้านการทำตลาดดิจิทัล (Digital Marketing) การบริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้า (CEM) และให้บริการจัดหาบุคลากร (Placement Service) เช่นกัน
แล้วกลุ่มลูกค้าทางธุรกิจของ IIG มีใครบ้าง?
ธุรกิจ ERP เช่น เทสโก้ โลตัส, คาราบาว กรุ๊ป, โตโยต้า, ดีแทค และบ้านปู
ธุรกิจ CRM เช่น เมืองไทยประกันชีวิต, แสนสิริ, ธนาคารทหารไทย และ วิริยะประกันภัย
ธุรกิจ CEM และ Placement Service เช่น โรงพยาบาลศิครินทร์, ธนาคารไทยพาณิชย์ และปตท.
จะเห็นได้ว่า IIG มีฐานลูกค้าเต็มไปด้วยบริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัทจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
แล้ว ผลประกอบการที่ผ่านมาของ IIG เป็นอย่างไร?
ปี 2560 รายได้ 174.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 23.0 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้ 201.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 18.2 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้ 394.7 ล้านบาท กำไรสุทธิ 47.8 ล้านบาท
รายได้เติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา 50%
กำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา 44%
ในขณะที่ หากเรามาดูโครงสร้างรายได้ของบริษัทในปี 2562 มาจาก
ธุรกิจ CRM 55.3%
ธุรกิจ ERP 36.9%
ธุรกิจการจัดหาบุคลากร 6.5%
ธุรกิจการตลาดดิจิทัล 0.9%
และอื่น ๆ อีก 0.4%
นอกจากการเติบโตแล้ว อีกสิ่งที่น่าสนใจก็คือโมเดลรายได้ของบริษัทที่มาจาก
รายได้ประจำ (Recurring Income) ซึ่งประกอบด้วยค่าเช่าใช้ software Salesforce, บริการให้คำปรึกษาและดูแลระบบหลังการติดตั้ง (AMS) ซึ่งรวมกันเป็น 58% ของรายได้ธุรกิจ CRM
แล้วการเข้าตลาดหลักทรัพย์ครั้งนี้ของ IIG
จะนำเงินระดมทุนที่ได้ ไปขยายกิจการอะไรบ้าง?
IIG จะนำเงินที่ระดมทุนได้ไปก่อตั้งศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์
พัฒนา IIG Academy เพื่อรองรับการพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัลที่จำเป็น
และยังรวมไปถึงการลงทุนจัดตั้ง Innovation Lab
เพื่อเป็นฐานการวิจัย และพัฒนาแอปพลิเคชันของทางบริษัท
เพื่อสร้างแหล่งรายได้ใหม่ และเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับลูกค้าธุรกิจ
นอกจากการลงทุนข้างต้นแล้ว ทางบริษัทก็จะนำเงินบางส่วน
ไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในองค์กรเพื่อรองรับ
การขยายตัวจากการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
จากภาพรวมทางธุรกิจของ IIG ที่มีการเติบโตตามเทรนด์การปรับตัวของเศรษฐกิจยุคดิจิทัล
ประกอบกับการที่ทางบริษัทมีฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งในหลายกลุ่มอุตสาหกรรม
ทั้งหมดนี้ก็น่าจะทำให้การจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ของ IIG ในปีนี้
เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามอง..
หมายเหตุ บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาให้ซื้อหรือขายหุ้นนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนการตัดสินใจลงทุน
References
-https://www.statista.com/statistics/870924/worldwide-digital-transformation-market-size/
-แบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี 56-1 บริษัท ไอแอนด์ไอ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)