เศรษฐีรวยสุดในเอเชีย มีน้องชาย เป็นบุคคลล้มละลาย ได้อย่างไร ? /โดย ลงทุนแมน
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า Mukesh Ambani เจ้าของ Reliance Industries กลุ่มธุรกิจที่ใหญ่สุดในอินเดียและเป็นมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในเอเชีย มีน้องชายชื่อ Anil Ambani
สำหรับน้องชายของมหาเศรษฐีคนนี้ ก็เป็นเจ้าของธุรกิจที่แยกตัวออกมาจาก Reliance Industries ของพี่ชาย มีชื่อบริษัทว่า Reliance ADA Group
ในปี 2008 Mukesh Ambani มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก
ในขณะที่ Anil Ambani ตามมาติด ๆ ด้วยทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท และรวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
โดยในปีนั้น เศรษฐี 4 อันดับแรกของโลก ได้แก่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ (อเมริกัน), คาร์ลอส สลิม (เม็กซิโก),
บิลล์ เกตส์ (อเมริกัน) และลักษมี นิวาส มิตตัล (อินเดีย)
หลังจากผ่านไป 13 ปี Mukesh Ambani มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาท
กลายมาเป็นมหาเศรษฐีรวยสุดในอินเดียและเอเชีย และรวยเป็นอันดับ 10 ของโลก
แต่ในปี 2019 Ambani คนน้องกลับมีทรัพย์สิน เพียง 5.6 หมื่นล้านบาท
จนล่าสุด มีหลายคนกล่าวว่าความมั่งคั่งตอนนี้ของ Ambani คนน้อง ลดลงจนเกือบเป็นศูนย์
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับน้องชาย ของคนที่รวยสุดในเอเชีย ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในปี 1948 หรือเมื่อ 73 ปีก่อน ชายชาวอินเดียวัย 16 ปี
ที่ชื่อ Dhirubhai Ambani ได้ตัดสินใจเดินทางออกจากบ้านเกิดไปทำงานที่ประเทศเยเมน
ผ่านไป 10 ปี Dhirubhai กลับมาที่อินเดียพร้อมกับเงินเก็บ เพื่อมาเริ่มสร้างธุรกิจเอง
Dhirubhai เริ่มจากการนำเข้าเส้นใยสังเคราะห์และส่งออกเครื่องเทศ ก่อนจะเริ่มทำธุรกิจสิ่งทอ ซึ่งก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จน Dhirubhai ได้ขยายกิจการไปในอุตสาหกรรมอื่น และเปลี่ยนมาใช้ชื่อบริษัทว่า “Reliance Industries” ในปี 1973
Reliance Industries สามารถ IPO ได้ในปี 1977 ซึ่งหุ้นของบริษัทก็มีชาวอินเดียสนใจลงทุนเป็นจำนวนมาก ถึงขนาดเคยจัดประชุมผู้ถือหุ้นที่สเตเดียม
ตั้งแต่ที่กิจการเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว Dhirubhai ก็เริ่มให้ลูกชายทั้ง 2 คนของเขา เข้ามาช่วยบริหารงานที่บริษัท
Mukesh Ambani ลูกชายคนโต เป็นประธาน
Anil Ambani ลูกชายคนรอง เป็นกรรมการผู้จัดการ
แต่แล้วในปี 2002 Dhirubhai ได้เสียชีวิตลงและได้ทิ้งกิจการ Reliance Industries ไว้กับลูกชายทั้ง 2 คน
Dhirubhai ที่จากโลกนี้ไปไม่ได้ทำพินัยกรรมและข้อตกลงแบ่งกิจการให้กับลูกแต่ละคนไว้ ซึ่งเขาก็คงไม่คิดว่า จะเกิดปัญหาตามมา
โดยปัญหาที่ว่านั้นเริ่มเกิดขึ้นเพราะลูกชายทั้ง 2 คน ที่เริ่มเข้าทำงานและมีบทบาทในบริษัทมาพร้อม ๆ กัน
กลับตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของและใครจะดูแลและรับผิดชอบบริษัทไหนบ้าง
สุดท้ายแล้ว ในช่วงปี 2004 ถึง 2005 ผู้เป็นแม่ต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา
โดยการจ้างบุคคลที่ 3 ให้เข้ามาจัดการเรื่องการแยกบริษัทออกจากกันไปเลย
Mukesh Ambani คนพี่ได้ธุรกิจหลักคือปิโตรเลียม ซึ่งเขามีบทบาทสำคัญในการขยายกิจการในส่วนนี้มาตั้งแต่แรก และยังได้ธุรกิจอื่น ๆ อย่างเช่นปิโตรเคมี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจยุคเก่า โดยกลุ่มบริษัทของ Mukesh ใช้ชื่อว่า Reliance Industries
Anil Ambani คนน้องได้ธุรกิจหลักคือ Reliance Communications ธุรกิจโทรคมนาคมที่เพิ่งเริ่มกิจการได้ไม่นาน แต่ก็กลายเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในอินเดีย ซึ่งแม้ว่า Mukesh จะมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่ต้น แต่ Anil ก็อยากได้ธุรกิจนี้เช่นกัน
นอกจากธุรกิจเทเลคอมแล้ว กิจการอื่นที่ Anil Ambani ได้รับไปดูแลอีกก็อย่างเช่น ธุรกิจพลังงาน และบริการทางการเงิน ซึ่งส่วนมากจะเป็นธุรกิจยุคใหม่ โดยกลุ่มธุรกิจของ Anil Ambani ใช้ชื่อว่า “Reliance ADA Group”
หลังจากจบเรื่องการแบ่งธุรกิจแล้ว แต่ละคนก็เริ่มต่อยอดธุรกิจตามเส้นทางของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น
Mukesh Ambani เริ่มทำธุรกิจค้าปลีกในปี 2006 จน Reliance Retail กลายมาเป็นธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่สุดในอินเดีย
ในขณะที่ Anil Ambani ก็ได้ต่อยอดทำธุรกิจบันเทิง อย่างเช่นในปี 2005 ได้ซื้อบริษัท Adlabs Films ที่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ซึ่งกลายมาเป็นโรงภาพยนตร์ที่มีสาขามากสุดในอินเดียในอีก 3 ปีถัดมา
ในปี 2008 Reliance Entertainment ของ Anil Ambani ก็ได้เซ็นสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนตร์ DreamWorks ของผู้กำกับ Steven Spielberg ซึ่งได้ร่วมผลิตภาพยนตร์ที่ได้รางวัลมากมาย อย่างเช่น The Help และ Lincoln
และปีเดียวกันนี้ Anil Ambani ก็ได้นำบริษัทพลังงานอย่าง Reliance Power จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้วยมูลค่าการระดมทุนที่สูงเป็นประวัติการณ์ในขณะนั้น
ผ่านไป 6 ปีหลังจากการเสียชีวิตของ Dhirubhai
ดูเหมือนว่าลูกชายของเขาทั้งคู่ก็ต่อยอดกิจการไปได้อย่างสวยงาม
จนทำให้ในปี 2008 Mukesh มีทรัพย์สิน 1.4 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 5 ของโลก และ Anil มีทรัพย์สิน 1.37 ล้านล้านบาท รวยเป็นอันดับ 6 ของโลก
แต่หลังจากนั้น เส้นทางความมั่งคั่งของพี่น้องคู่นี้ กลับเริ่มมีทิศทางที่สวนทางกัน
คนพี่รวยขึ้น ส่วนคนน้องความมั่งคั่งหายไปเกือบหมด
แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ?
เรื่องทั้งหมดมีจุดเริ่มต้นมาจากเงินที่บริษัท Reliance Power ของ Anil Ambani ได้มาจากการ IPO มีแผนจะใช้สร้างโรงไฟฟ้าที่ส่วนใหญ่จะผลิตจากก๊าซ
โดยก๊าซที่ Reliance Power ใช้ ก็มาจากบริษัทก๊าซธรรมชาติในเครือ Reliance Industries ของ Mukesh นั่นเอง
ซึ่งในตอนที่แยกบริษัทกัน สองพี่น้องก็ได้เซ็นสัญญาว่าบริษัทก๊าซของ Mukesh Ambani จะขายก๊าซให้โรงไฟฟ้าของน้องชายที่ราคาหนึ่ง
แต่ในวันที่โรงไฟฟ้าสร้างใกล้จะเสร็จและถึงเวลาที่พี่ชายจะขายก๊าซให้กับน้อง ราคาก๊าซในตลาดโลกกลับเพิ่มสูงขึ้นไปเกือบเท่าตัว
Anil Ambani จึงต้องการซื้อก๊าซในราคาที่ตกลงกัน เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้น
แต่ทาง Mukesh Ambani ไม่สามารถขายก๊าซตามราคาที่ตกลงกันไว้ได้เพราะบริษัทของเขาจะขาดทุน
แต่แทนที่จะเจรจาตกลงกัน Anil Ambani กลับเลือกที่จะยื่นฟ้องบริษัทพี่ชายในปี 2010 เพื่อให้ซื้อก๊าซได้ในราคาเดิมที่เคยตกลงกัน
แต่ศาลก็ได้มีคำสั่งให้ Anil Ambani ซื้อก๊าซในราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดโลก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายราคาก๊าซของประเทศ
สุดท้ายแล้ว Anil Ambani ที่ต้องแบกรับต้นทุนก๊าซเพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว จึงไม่สามารถจัดหาก๊าซเพื่อไปใช้ผลิตไฟฟ้าในโรงไฟฟ้าที่สร้างรอไว้แล้วได้
Reliance Power จึงกลายเป็นบริษัทที่มีหนี้มหาศาล จนต้องขายทรัพย์สินและกิจการบางส่วนออกไป เพื่อเอามาใช้หนี้ ซึ่งรวมถึงกิจการโรงภาพยนตร์ Big Cinemas ที่ซื้อมาเมื่อปี 2008 ด้วย
แต่ความผิดพลาดทางธุรกิจของ Anil Ambani ยังไม่ได้จบลงแค่นี้ เพราะเรื่องราวที่ร้ายแรงกว่านั้น เกิดขึ้นกับธุรกิจโทรคมนาคมอย่าง Reliance Communications (RCom)
ในปี 2002 ซึ่งเป็นช่วงที่ RCom เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ RCom เลือกใช้เทคโนโลยีการสื่อสารที่เรียกว่า CDMA ซึ่งใช้เงินลงทุนน้อยกว่า ขณะที่บริษัทคู่แข่งอย่างเช่น Airtel เลือกใช้เทคโนโลยีที่ชื่อ GSM
แม้เทคโนโลยีทั้ง 2 แบบจะใช้ได้ดีกับ 2G และ 3G เหมือนกัน แต่ปัญหาก็คือ CDMA ที่ RCom เลือกใช้ ไม่สามารถรองรับ 4G และ 5G ได้แบบ GSM ที่เหล่าคู่แข่งเลือกใช้
นั่นจึงทำให้ช่วงเวลาที่ทั่วโลกเปลี่ยนผ่านจาก 3G มาเป็น 4G อย่างรวดเร็ว RCom เลยตามคนอื่นไม่ทัน จน RCom กลายเป็นบริษัทที่เริ่มมีหนี้มากขึ้น
และจุดพลิกผันครั้งใหญ่ของ RCom รวมไปถึงทั้งอุตสาหกรรมเทเลคอมของอินเดีย ก็เกิดขึ้นในปี 2016
เมื่อ Mukesh Ambani ได้ก่อตั้งบริษัทย่อยของ Reliance Industries ในชื่อ “Jio” ซึ่งเป็นบริษัท
ที่เน้นบริการด้านเทคโนโลยี รวมถึงการให้บริการโทรคมนาคมแบบเดียวกับ RCom ด้วย
ด้วยชื่อเสียงของ Reliance Industries ก็ทำให้ Jio มีจำนวนผู้ใช้งานเครือข่ายโทรศัพท์เพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ส่งผลให้กำไรของบริษัทที่เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดอย่าง Airtel ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และทำให้อีก 2 บริษัทที่มีส่วนแบ่งตลาดรองลงมาอย่าง Vodafone และ Idea ต้องควบรวมกิจการกัน
ในเวลาต่อมาบริษัท Jio ของ Mukesh Ambani ก็กลายมาเป็นบริษัทเทเลคอมที่ใหญ่สุดในอินเดีย ส่วน RCom ของ Anil ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ก็หายไปจากการแข่งขันในตลาดเทเลคอม จนทำให้บริษัทขาดทุนและกลายเป็นหนี้มหาศาล
RCom ต้องยอมขายสินทรัพย์ของกิจการบางส่วนให้กับ Jio เพื่อลดหนี้
แต่นั่นก็ยังไม่ช่วยให้สถานการณ์ของ RCom ดีขึ้น
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2013 RCom ได้ทำข้อตกลงกับ Ericsson โดยจ้างให้ Ericsson มาเป็นผู้บริหารเครือข่ายในบริเวณทางเหนือและตะวันตกของอินเดีย แต่ผลจากการขาดทุนต่อเนื่องก็ทำให้ RCom ไม่มีเงินจ่ายให้ Ericsson ตั้งแต่ปี 2016
RCom ติดหนี้ Ericsson 2.46 พันล้านบาท ซึ่ง RCom ก็ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้ตามกำหนด และขอเลื่อนเวลาการจ่ายหนี้ออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งสุดท้ายแล้ว RCom จ่ายหนี้ได้เพียง 528 ล้านบาท นำไปสู่การถูกฟ้องร้องในเวลาต่อมา
ศาลสูงสุดจึงมีคำตัดสินว่า ถ้าภายใน 1 เดือน RCom ยังจ่ายหนี้ให้ Ericsson ไม่ได้ Anil จะต้องถูกจำคุก 3 เดือน
สุดท้ายแล้วพี่ชายของ Anil Ambani อย่าง Mukesh ก็เข้ามาช่วย
โดยการจ่ายหนี้ที่เหลือ มูลค่ากว่า 2 พันล้านบาทให้
ในขณะที่ บริษัท RCom ก็ต้องยื่นล้มละลาย
แต่เรื่องราวยังไม่จบแค่นั้น เพราะ RCom ยังมีหนี้ก้อนใหญ่อีกก้อน ที่กู้ยืมมาจาก 3 ธนาคารขนาดใหญ่ของจีน ทั้ง ICBC, China Development Bank และ EXIM Bank of China เป็นมูลค่า 2.3 หมื่นล้านบาท
ทั้ง 3 ธนาคารจึงยื่นฟ้อง RCom และ Anil Ambani..
ช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่ง Anil ได้พูดระหว่างพิจารณาคดีออนไลน์กับศาลของประเทศอังกฤษว่า เขาไม่มีเงินใช้หนี้ เพราะความมั่งคั่งของเขาตอนนี้ใกล้จะเป็นศูนย์แล้ว.. ซึ่งจนถึงตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเขาจะหาเงินจากไหนมาใช้หนี้
จากความขัดแย้งเพื่อแย่งกิจการกันเองในครอบครัว บวกกับการบริหารธุรกิจที่ผิดพลาด การทุ่มเงินลงทุนขนาดใหญ่แต่ได้ผลลัพธ์แย่กว่าที่คาด ทำให้บริษัทก่อหนี้ก้อนโต
ทั้งหมดนี้ก็ได้ส่งผลไปยังทรัพย์สินของผู้ที่เคยรวยติดอันดับ 6 ของโลกอย่าง Anil Ambani ได้หายไปเกือบหมด ในขณะที่พี่ชายที่เติบโตมาพร้อมกัน กลับเดินสวนทางกัน เพราะประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเศรษฐี ที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย นั่นเอง
ถ้าใครเชื่อว่าชีวิตของเราถูกกำหนดมาแล้วตั้งแต่เกิด
เกิดมาในครอบครัวที่รวย ก็ย่อมมีแรงส่งให้พวกเขารวยขึ้น
ซึ่งมันก็เป็นจริงในหลายกรณี
แต่ในบางกรณี มันก็อาจเป็นตรงกันข้าม
ซึ่งอย่างน้อย มันก็เกิดขึ้นแล้วกับ Anil Ambani น้องชายของ มหาเศรษฐี ที่รวยสุดในเอเชีย นั่นเอง..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.businessinsider.in/thelife/personalities/news/anil-ambanis-journey-from-42-billion-net-worth-to-claiming-poverty/articleshow/74028627.cms
-https://www.scmp.com/magazines/style/celebrity/article/3093874/mukesh-vs-anil-why-did-one-ambani-brother-go-bankrupt
-https://economictimes.indiatimes.com/industry/telecom/telecom-news/from-glory-to-dust-an-ambani-brands-journey-to-bankruptcy/articleshow/67837769.cms?from=mdr
-https://www.businesstoday.in/latest/economy-politics/story/anil-ambani-road-to-bankruptcy-how-the-brother-of-indias-richest-man-lost-his-way-271119-2020-08-25
-https://www.moneycontrol.com/news/business/a-timeline-of-reliance-communications-versus-ericsson-case-3661261.html
-https://youtu.be/dBH0E20kc30
-https://www.forbes.com/forbes/2008/0324/080.html?sh=3e185f910f2e
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Industries
-https://en.wikipedia.org/wiki/Reliance_Group
同時也有4部Youtube影片,追蹤數超過19萬的網紅The Aüdrey 歐追,也在其Youtube影片中提到,只是想跟大家分享一下偶們的作業哈哈哈 還有這個議題也很直得大家去關注~大家有興趣可以多多去了解一下Article13~ 然後沒錯 這支影片包含裡面的新聞 全部是我剪的? The current decade will be known as a decade of digital dependenc...
「big communications」的推薦目錄:
- 關於big communications 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於big communications 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於big communications 在 三木森 Mori Mori Illustration Facebook 的最佳貼文
- 關於big communications 在 The Aüdrey 歐追 Youtube 的最佳解答
- 關於big communications 在 pennyccw Youtube 的最佳貼文
- 關於big communications 在 #ミニマリストライフ Youtube 的最佳貼文
big communications 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
เปิดวิธีคิดเศรษฐกิจจีน ถอยหลังเพื่อไปต่อจริงหรือ ?
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลาดจีนในช่วงเวลานี้ มีหลายคำถามที่นักลงทุนกำลังรอฟังคำตอบ
ลงทุนแมน ได้ร่วมพูดคุยกับ 2 ผู้เชี่ยวชาญตลาดจีนของกองทุนบัวหลวง
นั่นคือ ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา ตำแหน่ง Chief Economist ของกองทุนบัวหลวง
และ คุณทนง ขันทอง ตำแหน่ง Head of Strategic Communications ของกองทุนบัวหลวง
ใน Clubhouse เมื่อวันพุธที่ 21 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
ประเด็นสำคัญของตลาดจีนในช่วงเวลานี้ จะเป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เริ่มต้นกันที่.. ภาพรวมเศรษฐกิจจีนที่ผ่านมา
ประเทศจีนมี GDP ไตรมาส 1 ปี 2564 อยู่ที่ 18.3% (YoY) โตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เป็นผลมาจากนโยบายการคลังแบบผ่อนคลายจากวิกฤติโควิด 19, การฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมช่วงปลายปี 2563 และภาคการค้าส่งออกตลอดช่วงต้นปี 2564
ขณะที่ล่าสุด GDP ไตรมาส 2 ปี 2564 อยู่ที่ 7.9% (YoY)
หากมองในแง่ของนักลงทุน ต้องยอมรับว่า เราผ่านช่วงเวลาที่เป็นจุดพีกของจีนกันไปแล้ว
แต่ในแง่ของพื้นฐานประเทศจีน ยังถูกมองว่าเป็น The Most Outstanding อยู่ดี
ที่น่าสนใจคือ ธนาคารกลางจีน (PBOC) พยายามปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา
เช่น การปรับลดอัตราการดำรงเงินสำรอง (RRR) เพื่อให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไปยังกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบ ให้ยังคงอยู่รอดต่อไปได้
ดังนั้น หากเราเห็นว่าจีนกำลังลดสภาพคล่อง ความจริงแล้วสภาพคล่องยังคงมีอยู่ในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก และบางกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ นั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าความท้าทายของจีน ยังมีอยู่อีกมาก
เช่น ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดตลาด และปัญหาเรือ Ever Given ขวางคลองสุเอซ ที่ส่งผลกระทบต่อภาคการค้าส่งออกจีน หรือปัญหาการปรับตัวสูงของสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ส่งผลต่อภาคอุตสาหกรรมจีน
แล้วตอนนี้ ความท้าทายจากปัจจัยภายนอก เป็นอย่างไร ?
สิ่งที่ต้องจับตาเป็นพิเศษคือ เรื่องความตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ที่เริ่มต้นมาจากการประชุม Alaska Summit ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน เมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
ซึ่งนับว่าเป็นปัจจัยภายนอกที่กำลังคุกรุ่นต่อเนื่องมาจากสงครามการค้า และประเด็นด้านเทคโนโลยี ตั้งแต่สมัยที่ ดอนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี ต่อเนื่องไปจนถึง สิทธิของแรงงานในซินเจียง
นอกจากนี้ ยังมีประเด็น Cyber Security ที่ทางสหรัฐอเมริกามีการอ้างว่าจีนได้ส่งแฮกเกอร์เข้าไปล้วงข้อมูลจาก Microsoft Exchange อีกด้วย
โดยทางกองทุนบัวหลวงมองว่าประเด็นทางด้าน Geopolitics เหล่านี้จะไม่กระทบกับภาคเศรษฐกิจจีน
เนื่องจากจีนพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นในเชิงด้านการลงทุนก็อาจกระทบกับตลาดการลงทุนได้บ้าง
ส่วนประเด็นสำคัญเรื่องความตึงเครียดระหว่างจีนกับประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ในขณะนี้ คือ สหรัฐอเมริกามีการร่วมมือกับกลุ่มประเทศ G7 เพื่อสกัดกั้นการก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจโลกของจีน
เนื่องจากตอนนี้จีนกำลังพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ทั้งในเรื่องขนาดเศรษฐกิจ เทคโนโลยี ปริมาณการค้าที่จีนเป็นคู่ค้าสำคัญของโลก และเมื่อตลาดเงินตลาดทุนใหญ่ขึ้น บทบาทของเงินหยวนก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งจะไปมีผลกับกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของโลกต่อไป เช่น ระบบชำระเงิน Digital Banking หรือสินทรัพย์ดิจิทัล
พูดง่าย ๆ ว่าตอนนี้เหมือนเป็นการต่อสู้ระหว่าง “โลกทุนนิยมจากฝั่งตะวันตก” และ “โลกอำนาจนิยมจากจีน”
เพื่อแย่งชิงการเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของโลก นั่นเอง
ขณะเดียวกัน จีนเองก็พยายามสร้างสัมพันธ์กับรัสเซียและประเทศกำลังพัฒนาอย่างเช่น ประเทศในกลุ่มแอฟริกา ลาตินอเมริกา และประเทศตามเส้นทางสายไหม
รวมไปถึงการพัฒนาภายในประเทศเองเพื่อให้คนในประเทศหลุดพ้นจากความยากจน
โดยความคาดหวังของจีนในระยะยาว คือ ต้องการให้ประเทศมีฐานะร่ำรวยปานกลาง (Moderately Prosperous Society) สร้างพลังการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น ให้คนในประเทศเป็นคนชนชั้นกลาง ส่วนภาคแรงงานจะมีค่าแรงเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักให้ประชากรจีนมีกำลังซื้อ มีความมั่งคั่ง กินดีอยู่ดีมากขึ้น และเติบโตได้ในระยะยาว
แล้วตอนนี้ ปัจจัยภายในจีน กำลังเจอความท้าทายใดบ้าง ?
จีนพยายามพัฒนาประเทศมาอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากแผนพัฒนาฯ ของจีน เช่น
- แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 11 เน้นการพัฒนาเศรษฐกิจ จนเกิดปัญหาการเก็งกำไรภาคอสังหาริมทรัพย์
- แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 13 การส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิต Made in China 2025 จนเกิดปัญหาสงครามการค้าจีน-สหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า Trade War
จะเห็นได้ว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจีน มักจะตามมาด้วยปัญหาต่าง ๆ
ทำให้จีน เริ่มมองหาทางเดินใหม่ ๆ ด้วยการลดความสำคัญของตัวเลข GDP สูง ๆ
แต่จะเน้น “ความเป็นสังคมอยู่ดี กินดี ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” เข้ามาแทนที่
จึงมีความเป็นไปได้ว่า เส้นทางเดินใหม่ของจีนจะมุ่งไปสู่ 2 กลุ่มหลัก นั่นคือ
- กลุ่มการเติบโตแบบมีคุณภาพ (Quality Growth) เช่น ภาคธุรกิจที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม ช่วยลดมลพิษ และทำให้ประเทศจีนมีคุณภาพที่ดีขึ้น
- กลุ่มเศรษฐกิจภายในประเทศ (Domestic Economies) เช่น ธุรกิจด้านการบริโภคภายในประเทศ
เราจึงเห็น แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 14 มียุทธศาสตร์วงจรคู่ขนาน (China’s Dual Circulation)
ที่คงความสำคัญของปัจจัยภายนอก เช่น การค้าส่งออก ไปพร้อมกับปัจจัยภายในประเทศ เช่น อุปสงค์การบริโภคภายในประเทศ
ดังนั้น ความท้าทายของปัจจัยภายในจีนก็คือ พลังของการบริโภคภายในประเทศ ที่จะมาจากการทำให้ประชากรจีนมีรายได้สูงขึ้น มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างทั่วถึง นั่นเอง
อีกหนึ่งประเด็นก็คือ การเข้ามาควบคุมกิจการเทคโนโลยีของจีน
สาเหตุหลักเป็นเพราะ รัฐบาลจีนต้องการจะเป็นเจ้าของ Big Data ที่อยู่ในมือของธุรกิจภาคเอกชน
จึงทำให้ธุรกิจเอกชนยักษ์ใหญ่ที่มี Big Data อย่าง Ant Group ที่ให้บริการการเงินครบวงจร หรือ DiDi แอปพลิเคชันเรียกแท็กซี่ที่มีข้อมูลการเดินทางของคนจีนจำนวนมาก จึงถูกรัฐบาลจีนเข้ามาจัดระเบียบอย่างที่ทราบกัน
สรุปแล้ว ช่วงเวลานี้ ควรลงทุนในตลาดจีนอย่างไร ?
ต้องยอมรับว่า การลงทุนในประเทศจีนช่วงนี้ อาจให้ผลตอบแทนได้ดีไม่เท่ากับตลาดอื่น ๆ
แต่ถ้าตาม Seasonal Pattern แล้ว ตลาดหุ้นจีนจะกลับมา Perform อีกครั้งในตอนช่วงท้ายปี
ประเด็นสำคัญที่นักลงทุนมักจะให้น้ำหนักต่อการเคลื่อนไหวของตลาดจีนก็คือ นโยบายของภาครัฐ ที่จะส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจระยะยาว รวมทั้งจุดเด่นของจีนที่มักจะพูดจริง ทำจริง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งประเทศที่ทำตาม KPI ของตัวเองได้ดี
ดังนั้น หากนักลงทุนเชื่อมั่นในประเทศจีนในภาพระยะยาว
จังหวะที่ตลาดหุ้นจีนลงมามาก ๆ ก็น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการเก็บสะสมหุ้นจีนแบบระยะยาวได้
ซึ่งหนึ่งวิธีที่จะลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดจีนตอนนี้ ก็คือการลงทุนแบบ DCA
เป็นการลงทุนแบบถัวเฉลี่ย ทำให้นักลงทุนไม่ต้องสนใจภาวะตลาด ณ ตอนนั้น เนื่องจากเป็นการทยอยเข้าไปลงทุนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการลงทุนแบบนี้จะฝึกให้นักลงทุนมีวินัยในการลงทุนมากขื้น
ส่วน Theme การลงทุนที่น่าสนใจ ควรสอดคล้องกับนโยบาย Dual Circulation Economic
อย่างในกลุ่ม Domestic Play ที่จะได้ประโยชน์จากจำนวนประชากรจีนที่จะมีกำลังซื้อมากขึ้น ซึ่งจะกลายเป็นการเติบโตรอบใหม่ของจีน
เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว, ธุรกิจกีฬา, ธุรกิจการศึกษา, ธุรกิจเครื่องดื่ม
สรุปได้ว่า ช่วงเวลานี้ หากจะลงทุนระยะยาวในตลาดจีน ก็เป็นจังหวะที่ดีให้นักลงทุนได้เลือกลงทุนในบริษัทพื้นฐานดีที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าจริง นั่นเอง
ในส่วนของกองทุนบัวหลวง มีกองทุนเปิดบัวหลวงหุ้นจีน (B-CHINE-EQ) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนเป็นแบบ Dynamic โดยส่วนหนึ่งได้มอบหมายให้ Allianz Global Investors Asia Pacific Limited เป็นผู้รับดำเนินงานการลงทุนในต่างประเทศของกองทุน (Outsourced Fund Manager) ซึ่งในส่วนนี้ก็มีการลงทุนผ่านกองทุน 2 กองทุน คือ กองทุน Allianz China A-Shares และกองทุน Allianz All China Equity และยังมีอีกส่วนที่กองทุนบัวหลวงคัดเลือกลงทุนหุ้นรายตัวเอง
นั่นก็หมายความว่า กองทุน B-CHINE-EQ ไม่ได้อิงผลตอบแทนของดัชนีประเทศจีน
แต่ยังมีการลงทุนธุรกิจพื้นฐานดีรายตัวในประเทศจีน ซึ่งจะช่วยกระจายความเสี่ยง และเพิ่มผลตอบแทนในระยะยาวให้กับนักลงทุนได้ นั่นเอง
big communications 在 三木森 Mori Mori Illustration Facebook 的最佳貼文
// 🏆”Image of The Book” International Winner🏆 //
前些日子在關注波隆納書展活動的時候,
偶然發現之前投稿由俄羅斯主辦的
“Image of The Book”國際插畫書籍設計大賽
也透過波隆納書展官網以直播影片的方式
公布了今年度的得獎者。
去年因為疫情關係沒能舉行頒獎典禮,
所以一次宣布了兩屆的獲獎名單。
本來想說聽聽看確認一下
去年獲獎的究竟是哪一部作品(?
孰不知一聽聽到更大的驚喜😮
震驚之餘,因為官網尚未公布最新的名單,
所以也不敢100%確定。
直到這幾天收到相關訊息
才安心地來跟大家分享喜悅😌
--------------------------------------------
🏆《#爸爸的小貨車》榮獲2020 Original Picture Book - diploma winners
同期獲獎的也有近日獲獎連連的筱琦(超級開心!)
張筱琦 hsiaochi chang
🏆《#農曆新年的美味》榮獲2021 Original Picture Book - diploma winners
也是今年度 #唯一一本來自台灣的獲獎作品!
相關獲獎名單:https://reurl.cc/AkpYaj
名單公布影片:https://reurl.cc/XWpyg3
(兩部作品分別在:6分47秒及20分50秒的位置)
--------------------------------------------
連續兩年都能獲得肯定,
心中真的是有無限的感激,
尤其是當從評審團主席Anastasia Arkhipova口中
聽到自己的名字以及國家的時候
那種油然而生的榮耀及使命感
真的難以言喻🤩。
台灣真的不乏優秀的創作者,
但礙於市場規模及政策考量,
我們往往是被排在末位的角色。
期許未來 文化部 、 文化內容策進院 Taiwan Creative Content Agency及各行業團隊
能提供更完善的規劃與資源挹注,
致力於美感的提升與運用,
讓台灣的創作者能夠持續地
在國際舞台閃耀、被更多人看見!
最後,
如果你想了解更多作品相關訊息,
歡迎點選以下連結查看更多。
如果可以的話,也請把它帶回家:)
《爸爸的小貨車》
博客來:https://reurl.cc/qgGmgy
誠品:https://eslite.me/3fyauj
法文版:https://reurl.cc/R08M3g
《農曆新年的美味》歡迎洽詢:
花栗鼠繪本館
小房子書舖
--------------------------------------------
The contest “Image of the Book” - Annual Contest for Book Illustration and Design was founded by the Federal Agency for Press and Mass Communications together with the Association of Book Illustrators and Designers of Moscow in 2008. In 2017 it became international. During these years about 1000 artists were awarded.
https://imageofthebook.com/en-main/
HongFei Cultures
Big Cities Little Foodies
拾光工作室 Gleaner Books
信鴿法國書店 Librairie Le Pigeonnier
big communications 在 The Aüdrey 歐追 Youtube 的最佳解答
只是想跟大家分享一下偶們的作業哈哈哈
還有這個議題也很直得大家去關注~大家有興趣可以多多去了解一下Article13~
然後沒錯 這支影片包含裡面的新聞 全部是我剪的?
The current decade will be known as a decade of digital dependency. The proportion of people accessing the internet has increased from 20% almost a decade ago, to 72% in 2018. (Ofcom, 2018). With the existence of network publics, online expressions are automatically recorded and archived, Content made out of bits can be duplicated and can be accessed through various ways (Boyd, 2010). Websites like YouTube, Facebook and twitter have changed the online marketing trend with the help of content creators, brand influencers etc. who enjoy the freedom of expression on the internet across the world, but big changes are coming to online copyright across the European Union. Article 13 of the European Union directive on the digital single market requires the likes of Youtube, Facebook and Twitter to take more responsibility for copyrighted material being shared on the platforms (Reynolds,2013). Therefore, this video intends to provide awareness to a mass segment of internet users and content creators on the internet about the Political issue of Article 13 and recommend the viewers to raise their opinion against it but we realized that a number of millennials are not aware about the issue of Article 13 and the main reason for the unawareness is ignorance. People tend to ignore the obvious things according to the psychology of willful blindness. So, in this case, people ignore the news of article 13 which they could and should have known but don’t know because it made them feel better to not know it ( Popova, 2018) Our aim is to show to the audience what the cost of inaction can result in. Upon an informal survey conducted in regards to Article 13 , we discovered, Everyone has heard about it, but no one knows about it
Viewers of the video are recommended to raise their opinion by signing an online petition by visiting the website https://savetheinternet.info/. The reason behind choosing this website among several other online petitions was the number of supporters. This online petition has over 5 million supporters who have signed to show the politicians their disapproval towards the reform. History suggests that online petitions have been successful in bringing change with number of instances.
The viral progression of the video has been supported by a number of strategies. Viral Videos tend to be exceptional.` The media chosen to inspire the audience to propagate this video are Facebook, Instagram, YouTube and Twitter. The major target audience will be millennials and people who belong to Generation Z. In order to attract and connect with the target audience, elements such as websites, news channels, and content from internet content creators such as 9Gag, PewDiePie were shown in the video. The target audience has a huge potential to push the video to a larger audience. The viral progression of the video is heavily dependent on Word-of-Mouth marketing which is the intentional influencing of consumer communications by professional marketing techniques (Kozinets, 2010). We aim the share the video with the hashtag #SaveYourInternet as we believe that hashtags can serve a motivational role for viewers to consume and distribute the content as per spreadability theory from the SPIN framework. ( Mills,2012 ) The video also highlights the behavior of the protagonist, who ignores such political news that has so much relevance in his actual life. We believe that the target audience will be able to relate themselves with the video and share it. Apart from that, the relevance of the issue of Article 13 can help the propagability and strengthen the integration among the viewers to become aware and act against it.
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/ujEexvuWosE/hqdefault.jpg)
big communications 在 pennyccw Youtube 的最佳貼文
The Big Cartoon Database reports that The Sixers and Premavision, Inc., the studio that produced the 1995 feature Gumby: The Movie, have come together to create a promotional television ad, in which a life-size Gumby will play a game of H-O-R-S-E against All-Star guard Allen Iverson. Donning the No. 3 Sixers jersey that Iverson usually wears, Gumby holds his own against Iverson easily. “Five or eight years ago, we wouldn’t have been able to do what we did,” says Dave Coskey, the president of Comcast-Spectacor Team Marketing and Communications, who co-produced the commercial. “It’s extremely realistic. Gumby doesn’t look like a clay figure [in the ad]. He’s really there.”
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/zXTBz3WTTRk/hqdefault.jpg)
big communications 在 #ミニマリストライフ Youtube 的最佳貼文
ビジネスワイヤからの速報です。 コンタクトレンズ大手の『メニコン』が使い捨てコンタクトレンズのMagicの容器で広告賞を受賞しました。 Magicの容器は薄いシート状でシンプルです。 全く飾りっけは無いですが、非常に美しいです。
この、装飾(デコレーション)によらないデザインが受賞した理由だと考えます。
(動画の広告イメージ、メニコンのロゴはプレスリリースで公開されたものを利用しています)
ビジネスワイヤ原文
"Magic," World's Thinnest Contact Lens Pack, Scores Gold at "Big 3" Advertising Awards
NAGOYA, Japan--(BUSINESS WIRE)--Menicon Co., Ltd.'s "Magic," a daily disposable contact lens pack that provides wearers with both functionality and ultra-thin portability through its minimalist design, won the 2012 Gold Award for Brand and Identity Experience at the Cannes Lions International Festival of Creativity. Gold Awards for package design were also clinched at the CLIO and The One Show awards, adding to Magic's list of accolades.
Magic has also received high praise for its integrated marketing approach, which conceives of a product's name, package design, logo, website, communications and advertising holistically, up to and including in-store merchandising. The effectiveness of this approach has been evidenced in the range of awards Magic has garnered thus far, and Menicon is confident that it will be further validated by consumer demand when Magic becomes available throughout Japan starting in August.
Magic's Big 3 Advertising Awards
The awards competitions considered to be the three most important in advertising are the Cannes Lions International Festival of Creativity, The One Show and the CLIO Awards.
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/YjhC5yOqp3M/hqdefault.jpg?sqp=-oaymwEbCKgBEF5IVfKriqkDDggBFQAAiEIYAXABwAEG&rs=AOn4CLCQ1MNGIW6LnuU4AU-oIHKVAaSqIw)