之前 #美國 #國防部 獨家發包給 #微軟 Azure,被 #AWS 攔胡;現在換微軟擋了AWS的發財路,抗議 #NSA 發給AWS的百億美元雲端運算合約案,看來這兩家大咖想進入贏者全拿的局面哪。
azure web service 在 คุยการเงินกับที Facebook 的最讚貼文
หุ้น Amazon : “วันนี้ยังคงเป็นวันนับหนึ่ง” วลีเด็ดเเห่งยักษ์ใหญ่ ecommerce
AMZN-Amazon.com,Inc.
Price : 3306.37$ (07/05/2021)
PE(FWD) : 61.17
Market cap : 1.65 ล้านล้านเหรียญ
Amazon.com ยักษ์ใหญ่เเห่งอาณาจักรค้าปลีกออนไลน์ ที่สร้างความเปลี่ยนเเปลงให้กับยุคสมัย โดยผู้ก่อตั้งนามว่า “เจฟ เบซอส” เจฟ เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ ในเเง่ของธุรกิจเเละ การลงทุนอย่างมาก ถ้าใครได้ติดตามเขา จะรู้ว่า เจฟ มีประโยคเด็ด ในการประชุมผู้ถือหุ้นเสมอ ถ้าได้อ่านรายงานการประชุมทุกปี คือ “Day1”
เจฟ นำหลักเเนวความคิดว่า “Day1” มาใช้ ทั้งในการสร้างธุรกิจ เเละ สร้างวัฒนธรรมองค์กร ให้คนในบริษัทมองว่า เรายังเป็นเเค่เพียงวันเเรก ที่ต้องเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ เเละ ไม่หยุดพัฒนาตัวเองเสมอ
ซึ่งได้มีคนมาถามเขาเหมือนกันว่า “เเล้วเมื่อไหร่จะ Day2 หละเจฟ?” (ซึ่งก็เป็นคำถามที่น่าสนใจเหมือนกัน555555)
เจฟบอกว่า Day2 จะทำให้เป็นเหมือนบริษัทใหญ่ๆ หลายบริษัท ที่คิดว่าตนเองสำเร็จเเล้ว เเละยึดกับความสำเร็จเดิมๆ ทำให้เขามองว่าน่ากลัวมาก เพราะ จะทำให้เราไม่ก้าวไปไหน
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเเนวคิดที่ตอกย้ำความสำเร็จให้เขาเเตกต่างจากคู่เเข่งรายอื่นๆ ก็คือ “Customer Centric” หรือ การใช้ลูกค้าเป็นจุดศูนย์กลาง ทำให้เขาสามารถคิดค้นนวัตกรรมฝหม่ๆ มาให้ลูกค้าก่อนที่ลูกค้าจะรู้ตัวเสียอีก อย่าง การทำ Amazon prime ,AWS(Amazon Web Service ) ,Kindle , Amazon fullfillment เเละอีกมากมาย
ซึ่งเจฟได้ให้ความเห็นอันนี้ต่อ การ disruption ว่า อีกสิบปีผ่านไป สิ่งหนึ่งที่ตะไม่เปลี่ยนก็คือ ลูกค้า คุณต้องหาว่าลูกค้าต้องการอะไร ที่ดีที่สุด เเล้วคุณจะไม่กลัวการ disrupt เลย เพราะเราจะหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้ลูกค้าอยู่เเล้ว ซึ้งนั้นมักจะเป็นนวัตกรรมไปในตัว
โดยเจฟ ทำให้ Amazon.com ที่เป็นบริษัทที่ขาดทุน(ทางบัญชี) มานานหลายสิบปี เเต่ มีกระเเสเงินสดค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เพราะเขามักจะนำ เงินจากกำไรเพื่อไปลงทุนต่อ เพราะเขาเขื่อ ว่า สิ่งที่สำคัญในการลงทุนเเละทำธุรกิจคือการมอง ยาวๆ เเละ การลงทุนเพื่อไปสร้างกระเเสเงินสดในอนาคตซึ่งนับว่าสำคัญกว่า ตัวเลขกำไรทางบัญชีในปัจจุบัน
เพื่อนๆ จะเห็นว่า เเนวความคิดที่เขาได้เเสดงออกมาย้ำให้เห็นถึง ความใส่ใจในรายละเอียด เเละ พร้อมสู่ชัยชนะ อย่างมาก พร้อมทั้งความรู้ความเข้าใจต่อเเนวความคิดในการลงทุนระยะยาวอีกด้วย
.........
งั้นเรากลับเข้าเรื่องดีกว่า ว่า เเล้วหุ้น Amazon.com จะยังคงน่าลงทุนอยู่หรือไม่?
การจะลงทุนได้นั้น คงต้องมองจากปัจจัยว่า บริษัทนี้ยัง เติบโตได้หรือไม่ เเละ จะยังสามารถเเข่งขันในตลาดอันดุเดือดนี้ได้ในระยะยาวหรือไม่
ทีนี้มาดูกันว่าโครงสร้างได้ Amazon ประกอบด้วยอะไรบ้าง....
•retail product
•retail third party seller
•AWS
•subscription
•others (ads,cobranded,..etc)
...........
ซึ่งในQ1 2021 ทุกคนน่าจะได้เห็นเเล้วว่า รายได้ยังเติบโตถึง 44% เเละ มีกำไรเติบโตถึง 3หลัก จาก 2.5พันล้านเหรียญไป ถึง 8.1 พันล้านเหรียญ!!
เพราะมีการเติบโตจาก ทั้ง ผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนของโควิด19 เเละ การเข้ามาของผู้ขายที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ ผู้ใช้งานได้รับความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ไปอีก
ในฝั่งของ ธุรกิจ startup ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ก็ยังทำให้ AWS ของ amazon เติบโตได้อย่างดี ซึ่งให้บริการด้าน cloud computing ซึ่งกิน market share ถึง 32% อันดับหนึ่งของโลก (Azure ของ microsoft เป็นอันดับ2 ที่20%) เพราะเเม้เเต่ Airbnb ,Netflix ก็ใช้ของ AWS
........
ในเเง่ของความยั่งยืนของตัวธุรกิจ ย่อมเกิดจาก เเนวความคิด ของ เจฟ ที่ได้สร้างไว้ว่า ผู้บริโภคเป็นตัวตั้ง เมื่อเป็นเช่นนั้นเเล้ว Amazon เเทบไม่ได้สนว่าคู่เเข่งจะทำอะไร กลับกัน มองว่าผู้บริโภค ต้องการอะไรมากขึ้นเรื่อย เเละ สร้างนวัตกรรมให้ผู้บริโภคใช้งานได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น
จึงมีปราการที่ค่อนข้างชัดเจน ในเเง่การเปลี่ยนเเปลงของผู้บริโภคไปใช้คนอื่น(switching cost)
........................................
ติดตามข้อมูล เศรษฐกิจ การลงทุนในต่างประเทศ ในไทย ได้ที่คุยการเงินกับที
........................................
Ref :
หนังสือ invent & Wander
Amazon Q1 2021 earnings report
https://www.investopedia.com/amazon-q1-2021-earnings-report-recap-5181230
AWS market share
https://www.statista.com/chart/18819/worldwide-market-share-of-leading-cloud-infrastructure-service-providers/
Amazon: The Most Clearly Undervalued Company
https://seekingalpha.com/article/4424794-amazon-clearly-undervalued-company
Trin T
azure web service 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
Amazon กับ Microsoft กำลังแข่งขันกันที่ “นอกโลก” /โดย ลงทุนแมน
Amazon และ Microsoft สองบริษัทเทคโนโลยีนี้ มีมูลค่ารวมกันถึง “100 ล้านล้านบาท”
แม้จะไม่ได้เป็นคู่แข่งกันตรงๆ แต่ทั้งสองบริษัท มีธุรกิจหนึ่งที่ทั้งคู่ทำเหมือนกัน
นั่นก็คือ ธุรกิจคลาวด์
รู้ไหมว่าในตอนนี้ บริการคลาวด์ ของทั้งคู่
ไม่ได้แข่งกันแค่บนโลกของเราเท่านั้น
แต่ยังออกไปแข่งกันไกลถึง “นอกโลก”
แล้วเรื่องนี้น่าสนใจอย่างไร?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
แค่เปิด Radars Point ก่อนช้อปออนไลน์ เพื่อเป็นเจ้าของแผนลงทุนหุ้นได้เลย
ดาวน์โหลดที่นี่ : https://radarspoint.page.link/longtunman
╚═══════════╝
Amazon เป็นเจ้าของแบรนด์ Amazon Web Services หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า AWS
Microsoft เป็นเจ้าของแบรนด์ Microsoft Azure
รู้ไหมว่า ปัจจุบัน 2 เจ้านี้ ครองส่วนแบ่งการตลาดของธุรกิจคลาวด์ทั่วโลกเกิน 50%
AWS ครองตลาดประมาณ 33% ส่วน Azure ครองตลาดประมาณ 18%
ถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะยังสงสัยว่า คลาวด์ คืออะไร?
คลาวด์ คือ การประมวลผล และการจัดเก็บข้อมูลที่ทำงานผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยลูกค้าที่ใช้บริการไม่จำเป็นต้องซื้อทรัพย์สินอะไร เพียงแค่จ่ายเงินกับผู้ให้บริการ ก็สามารถใช้การประมวลผล และการจัดเก็บข้อมูลนั้นได้
ซึ่งการที่ไม่ต้องซื้อทรัพย์สิน ก็เปรียบเสมือนใช้บริการที่ล่องลอยอยู่ในอากาศ และเป็นเหตุผลที่เรียกว่า คลาวด์ ที่แปลว่าก้อนเมฆนั่นเอง..
แล้ว บริการคลาวด์ ดีอย่างไร?
ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ สมัยก่อนองค์กรต่างๆ อาจต้องมีการลงทุนซื้อหรือพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการทำงาน พื้นที่ และระบบจัดเก็บข้อมูลด้วยตนเอง
เช่น ถ้าบริษัท A มีข้อมูลจำนวนมากที่ต้องเก็บ ก็จะต้องลงทุนสร้างห้องเก็บข้อมูลหรือที่เรียกว่า Data Center ด้วยตัวเอง ซึ่งต้องใช้เงินทุนสูง
แต่ในทุกวันนี้ บริษัท A ไม่จำเป็นต้องลงทุนสร้าง Data Center เพื่อเก็บข้อมูลเองอีกแล้ว
เพราะสามารถนำเงินไปเช่าพื้นที่สำหรับเก็บข้อมูล จากผู้ให้บริการอย่างเช่น AWS หรือ Azure แล้วส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเพื่อไปเก็บในพื้นที่นั้น ซึ่งนี้ก็คือตัวอย่างบริการคลาวด์รูปแบบหนึ่งนั่นเอง
ด้วยเทรนด์ของการทำธุรกิจในปัจจุบัน กำลังเคลื่อนเข้าสู่โลกออนไลน์กันมากขึ้นทุกที ก็เลยทำให้ความต้องการใช้บริการคลาวด์ เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มูลค่าของการให้บริการคลาวด์ทั้งโลก มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 18% และมีมูลค่าตลาดทั้งหมดในปี 2019 ถึง 3.5 ล้านล้านบาท
ที่น่าสนใจคือ การระบาดของ COVID-19
ยิ่งเป็นตัวเร่งให้ความต้องการใช้บริการคลาวด์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ถ้าลองมาดูอัตราการเติบโตของรายได้จากบริการ Cloud ของทั้งสองบริษัท ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
Amazon Web Services รายได้เติบโต 30.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
Microsoft Azure รายได้เติบโต 31.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของความต้องการใช้บริการคลาวด์ ยิ่งทำให้ทั้ง Amazon และ Microsoft แข่งขันกันดุเดือดมากขึ้น เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดนี้มาครองให้ได้มากที่สุด
จนการแข่งขัน “บนโลกใบนี้”
ดูเหมือนจะไม่เพียงพอแล้วสำหรับสองบริษัทนี้..
ปี 2018 Amazon ร่วมมือกับ Lockheed Martin บริษัทที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตอาวุธและเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและดาวเทียม ก่อตั้ง “AWS Ground Station”
โดย AWS Ground Station คือสถานีภาคพื้น ที่มาช่วยซัปพอร์ตการทำงานระบบคลาวด์ของ AWS ให้ยืดหยุ่นมากขึ้น ด้วยการอาศัย “ดาวเทียม” เป็นตัว รับ-ส่งสัญญาณ กับสถานี
ซึ่งเทคโนโลยีนี้ ช่วยให้บริการคลาวด์ของ AWS ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลกมากขึ้น และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ส่วนทาง Microsoft ก็ไม่น้อยหน้า
เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Microsoft ได้ประกาศความร่วมมือกับ “SpaceX” บริษัทสำรวจและขนส่งอวกาศเชิงพาณิชย์ ของมหาเศรษฐี อีลอน มัสก์ เพื่อก่อตั้ง “Azure Space”
โดย Azure Space เป็นโครงการที่จะช่วยยกระดับการให้บริการระบบคลาวด์ ของ Microsoft Azure ด้วยการอาศัยเทคโนโลยีบนห้วงอวกาศมาเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ
ซึ่งหนึ่งโพรเจกต์สำคัญของโครงการนี้ คือการนำ “อินเทอร์เน็ตจากอวกาศ” จากดาวเทียม Starlink ที่ SpaceX กำลังจะเริ่มทดสอบการให้บริการในปลายปีนี้ มาเชื่อมต่อเข้ากับบริการคลาวด์ Azure
หมายความว่า บริการคลาวด์ของ Microsoft กำลังจะเริ่มให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตจากอวกาศในไม่ช้านี้แล้ว..
และทางฝั่ง Amazon เองก็มีโครงการอินเทอร์เน็ตจากอวกาศเช่นกัน
เพราะในปี 2019 Amazon ก็ได้ประกาศก่อตั้งโครงการที่ชื่อว่า “Project Kuiper”
ซึ่งเป็นโครงการที่จะส่งดาวเทียมขึ้นไปบนอวกาศ เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ต คล้ายๆ กันกับดาวเทียม Starlink ของ SpaceX
โดยบริษัทที่จะส่งดาวเทียมของ Project Kuiper ขึ้นไปก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่เป็น “Blue Origin” บริษัทสำรวจและขนส่งอวกาศของมหาเศรษฐี เจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Amazon นั่นเอง..
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงได้รู้แล้วว่า
ในขณะที่หลายบริษัท หลายอุตสาหกรรม
กำลังแข่งขันกันอยู่บนโลกของเรา ณ เวลานี้
สองบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการเทคโนโลยี
กำลังไปไกล ถึงขนาดที่หลายคนอาจจินตนาการไม่ถึงเลยด้วยซ้ำ
และถึงแม้เรื่องนี้ อาจจะยังดูไกลตัวเราคนไทย ในตอนนี้
แต่ใครจะไปรู้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
คนทั่วโลก อาจได้ใช้บริการเทคโนโลยีเหล่านี้
ที่ส่งตรงมาจาก “นอกโลก” อย่างไม่รู้ตัว ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
.
ใครกำลังเตรียมช้อปทิ้งท้าย 11.11 นี้ อย่าลืมเปิดแอป Radars Point ก่อนช้อปเพื่อเป็นเจ้าของแผนลงทุนหุ้นได้ง่ายๆ ไม่ต้องใช้เงิน พิเศษ! สำหรับผู้อ่านลงทุนแมน เพียงกรอกโค้ดลับ LTM8 รับ 8 Point นำไปลงทุนได้เลยฟรีๆ!
.
ดาวน์โหลดที่นี่ > https://radarspoint.page.link/longtunman
รายละเอียดเพิ่มเติม > https://blog.radarspoint.com/radars-point/
╚═══════════╝
References
-https://www.statista.com/chart/18819/worldwide-market-share-of-leading-cloud-infrastructure-service-providers/
-https://ir.aboutamazon.com/news-release/news-release-details/2020/Amazon.com-Announces-Second-Quarter-Results/
-https://www.microsoft.com/en-us/Investor/earnings/FY-2020-Q4/income-statements
-https://aws.amazon.com/ground-station/faqs/
-https://www.geekwire.com/2019/amazon-project-kuiper-broadband-satellite/
-https://www.space.com/microsoft-launches-azure-space-cloud-computing
-https://spacenews.com/amazon-lockheed-venture-casts-shadow-on-ground-station-startups/