Beam’s Story เรื่องของบีมและญี่ปุ่น (EP22)🌸⛩
【สอบเข้ามหาลัย เตรียมตัวยังไง เลือกมหาลัยอะไรบ้าง !!!】
ปล.นานแล้วนะ เกิน 10 ปี ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 📚
แต่คิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับน้องๆและผู้อ่านค่ะ 🏫
บีมเตรียมอ่านหนังสือสอบเข้ามหาลัยตั้งแต่ช่วงปิดเทอมเล็กม.4 แต่ตอนนั้นอ่านแต่ภาษาญี่ปุ่นอย่างเดียวนะ คือมีเวลาว่างก็พยายามอ่านทบทวน ท่องศัพท์ เอาข้อสอบเก่าๆมาทำ ทำทุกปิดเทอมเลย
ก็ยอมรับว่าขยันมากมาย ที่ขยันไปก็ไม่ใช่อะไร
นอกจากภาษาญี่ปุ่นกับคอมพิวเตอร์คือบีมไม่มีอะไรเรียนได้ดีเลยอะ 555
จนประมาณปลายเทอมม.5มั้งถึงเริ่มเรียนพิเศษวิชาที่จำเป็นต้องใช้ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคม
ใจนึงบีมแอบเสียดายนะ กับความรู้(ที่ไม่ค่อยเข้าหัว555)ในสายวิทย์ที่บีมเรียนมา หลายๆคนคิดว่าถ้าบีมเรียนภาษาก็ได้ ไปทางสายวิทย์ก็ได้มันน่าจะต่อยอดออกไปได้หลายอย่าง ได้ทั้งวิชาสายวิทย์ แล้วก็ยังได้ภาษาอีก
ซึ่งบีมก็เคยคิดแบบนั้นแหละ บีมถึงเลือกเรียนสายวิทย์มา แต่พอมาเทียบกับความสุขในอนาคตที่น่าจะไม่มี เพราะทรมานกับการเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบแล้ว
ก็เลยตัดสินใจ "เท" ทุกอย่างไปหมด เป้าหมายอย่างเดียวคือ “ฉันต้องเข้ามหาวิทยาลัยภายได้ภาควิชาเอกภาษาญี่ปุ่นให้ได้”
สมัยรุ่นที่บีมสอบเป็นรุ่นที่เรียกว่า Admission โดยใช้ผลสอบ Anet-Onet +คะแนน Gpax ที่โรงเรียนรวมกัน บอกตรงๆว่าคุยกับเพื่อนไม่รู้เรื่องจริงๆ คุยกับใครไม่รู้เรื่องด้วย เพราะรอบตัวเราไม่มีใครเป็นเหมือนเราเลย เพราะเราตัดใจแบบทิ้งทุกสิ่งอย่างแล้วเบนไปสายภาษา 100%
อาจารย์แนะแนวก็ช่วยแนะนำมากไม่ได้ นอกจากบอกว่าให้พยายามเข้านะ เธอน่าจะทำได้แหละ
สุดท้ายก็ช่วยกันดูกับแม่อย่างเดียวว่าเราจะเลือกที่ไหนบ้าง ใช้คะแนนสอบของอะไรบ้าง สรุปก็คือ เอกภาษาญี่ปุ่นที่บีมจะเลือกมี
1.อักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย
2.ศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์
3.มนุษย์ศาสตร์ เกษตร
4.อักษรศาสตร์ ศิลปากร
สมัยบีมให้เลือกได้ 4 อันดับค่ะ ซึ่งบีมเลือกตามนี้ เรียงลำลับตามนี้เลย วิชาที่ใช้สอบคือ
A-net ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาญี่ปุ่น
O-net ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย สังคม
บีมถึงได้เทเลขกับวิทย์ได้ด้วยประการฉะนี้ 555
เทนี่คือ เทหมดหน้าตักนะคะ คือไม่แตะ ไม่อ่าน ไม่ทบทวน ไม่อะไรทั้งสิ้น
บีมขอไม่พูดถึงมหาลัยอื่นเพราะบีมจำข้อมูลไม่ได้ 555 จำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า บางมหาลัยทุกคนต้องเริ่มเรียนนับ 1 ใหม่หมด บางมหาลัยต้องใช้คะแนนญี่ปุ่นเท่านั้นถึงเข้าได้ สามารถเข้าไปเรียนต่อระดับกลางได้เลย ซึ่งบีมขอยกตัวอย่างธรรมศาสตร์
ธรรมศาสตร์ในตอนนั้นหากจะเข้าเอกญี่ปุ่นรับ 2 แบบ คือ
1. มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาก่อน ใช้คะแนนญี่ปุ่นยื่น ถ้าติดก็เข้าไปเลย 25 คนของประเทศ
2. ไม่มีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นมาก่อน ใช้คะแนนอื่นที่ไม่ใช่ญี่ปุ่นยื่น ห้ามมีคะแนนญี่ปุ่น เข้าไปเอกรวม ลงเรียนวิชาญี่ปุ่นแล้วไปแข่งกันเข้าเอกทีหลัง
ซึ่งบีมเลือกแบบแรก บีมก็ใช้คะแนนญี่ปุ่นยื่นไปเลย แต่มาคิดย้อนหลังก็ใจกล้ามากนะ ไม่ได้เรียนศิลป์ญี่ปุ่นมาด้วย เรียนพิเศษเป็นงานอดิเรก แต่ประเมินตัวเองจากเพชรยอดมงกุฎที่ผ่านมา ถ้าพยายามมากขึ้นก็น่าจะติดจุฬาได้อยู่
พูดตามตรงว่า คณะที่บีมใฝ่ฝันคืออักษรศาสตร์จุฬา เพราะด้วยความที่เราได้รับอิทธิพลจากสังคมรอบข้าง ใครๆก็พูดว่าจุฬาๆๆๆ บีมต้องเข้าจุฬาให้ได้
แต่บีมไม่ได้คิดว่ามหาลัยอื่นไม่ดีนะ เพียงแต่ไม่มีข้อมูลในหัวเลยตอนนั้น ไม่มีอิมเมจเลยว่ามหาลัยอื่นเป็นยังไง รู้จักแค่อักษรจุฬาจริงๆ บีมอยากจะไปยืนจุดที่บีมคิดว่าบีมน่าจะพอใจถ้าบีมทำได้
จะพูดเรื่องการเตรียมตัวสอบ ทำไมมันยาวขนาดนี้ได้ 555
บีมค่อนข้างเป็นเด็กที่มีระเบียบกับชีวิต นอกจากการเขียนบันทึกแล้วบีมจะตั้งเวลาและตารางไว้เลยว่าวันนี้บีมจะทำอะไรบ้าง ต้องเสร็จกี่โมง และบีมจะภูมิใจมากถ้าวันนั้นการใช้ชีวิตของบีมเป็นไปตามตารางที่บีมตั้งไว้ ซึ่งทุกวันนี้บีมก็ยังมีนิสัยอย่างนั้นอยู่นะ 555 มันถึงทำเพจมาได้นานขนาดนี้อะทุกคนนน
ตั้งแต่เด็กๆพ่อแม่ไม่เคยบังคับให้บีมอ่านหนังสือเลย บีมจะอ่านเอง คือเป็นคนไม่เครียดเรื่องอะไรในชีวิตเลย ยกเว้นอย่างเดียวคือเรื่องเรียน เกรดบีมจะตกกว่า 3.8 ไม่ได้ เคยแค่เทอมเดียว ได้ 3.76 บีมร้องไห้ไม่หยุดเลย 555555 บ้าบออออออออออออออ
คือเราก็มีเป้าหมายของเราอะเนอะ เราเป็นคนที่มีนิสัยตั้งเป้าหมายของตัวเองไว้สูงมากตั้งแต่ตอนเด็กๆ เป้าหมายสูงๆเพื่อทำให้ตัวเราพยายามก้าวไปให้ถึง แต่พอร่วงนี่เจ็บปวดรวดร้าวมากจ้า
ที่บ้านไม่เคยพูดว่าถ้าแกสอบไม่ได้เกิน 3.8 จะไม่ได้ค่าขนมไรงี้ ไม่มีเลย เป็นคนที่กดดันตัวเองเอง ทำตัวเองล้วนๆ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ดังนั้นตอนปลายๆม.5 บีมก็เริ่มจริงจังละ บีมตั้งไว้เลยว่าวันนี้บีมจะอ่านทบทวนวิชาอะไร กี่โมงถึงกี่โมง ต้องนอนกี่โมงตื่นกี่โมง
บีมวางหนังสือเรียงไว้เลย ทำตารางไว้เลยของทั้งปี คนส่วนมากทำตารางเป็นวันเป็นสัปดาห์เนอะ ของบีมคือ มีเขียนไว้ตั้งแต่ วัน สัปดาห์ เดือน ปี บ้าไปแล้ว
วางหนังสือเรียงไว้เต็มห้อง
อันนี้สำหรับอ่านวันนี้ อันนี้พรุ่งนี้ แยกชัดเจน แบ่งเวลาชัดเจน เทคนิคของบีมคือ
1. ใช้เวลาครึ่งปีอ่านทบทวนทั้งวิชาที่จะใช้ทั้งหมดก่อน ให้มีข้อมูลวนไปวนมาให้อยู่ในหัว
2. ไปอ่านที่ไหนมาไม่รู้ว่าไม่ควรอ่านหนังสือดึกๆ ควรอ่านเช้าๆเพราะจะจำได้ดี บีมทำขนาดที่ว่าบีมนอนสอง-สามทุ่ม แล้ว ตื่นตี3 ตี4 ทุกวันเพื่ออ่านหนังสือ 555 แล้วพอตี 5 ก็แต่งตัวไปโรงเรียน บังคับให้พ่อซื้อแบรนด์ซื้อวีต้ามากินด้วย ทำแบบนี้อยู่หลายเดือนเลยนะ
จริงๆบีมว่าอาหารเสริมไม่น่าช่วยอะไรหรอกมั้ง แต่ช่วยทางจิตใจได้มากเลย 55555555
3. หลังจากอ่านทบทวนทุกอย่างเสร็จ ก็เริ่มทำข้อสอบเก่าย้อนหลัง 10 ปี ของทุกวิชาที่ต้องใช้
4. การทำข้อสอบของบีมบีมไม่ได้ทำในหนังสือเลย บีมซื้อกระดาษคำตอบมาแบบที่ใช้สอบที่โรงเรียน อิใบเขียวๆอะ 555
แล้วเขียนชื่อวิชา เขียนปีของข้อสอบ แล้วกาในกระดาษคำตอบเลย (บีมยังเก็บซากไว้อยู่นะ)
5. ข้อสอบฉบับเดียวไม่ได้ทำครั้งเดียว เพื่อไม่ให้เบื่อ บีมทำสลับไป สามวิชา อังกฤษไทยสังคม ย้อนหลังประมาณ 10 ปี ข้อไหนผิดเราก็ไปอ่านเฉลยดูว่าผิดได้ยังไง จำที่เราผิดพลาด แล้ววนทำใหม่อีกนะ
สุ่มเอาว่าจะได้ทำฉบับไหน
6. ภาษาญี่ปุ่นก็เช่นกัน บีมท่องศัพท์ในหนังสือได้ทุกคำ เพราะบีมคิดว่าเรียนมาแล้วมันไม่ควรลืม โอ๊ย 555
แล้วบีมเรียนด้วยหนังสือ Minna no Nihongo นะตอนนั้น ซึ่งเด็กที่เรียนศิลป์ญี่ปุ่นส่วนใหญ่เรียนด้วย Akiko to Tomodachi
ด้วยความที่บีมคิดว่าบีมอาจจะสู้เด็กศิลป์ญี่ปุ่นไม่ได้ เพราะหนังสือแบบเรียนสองอย่างนี้ไม่เหมือนกัน บีมไปหาซื้อ Akiko to Tomodachi มาหมด 6 เล่มเลย แล้วอ่านตั้งแต่แรกยันจบ ลิสต์คำศัพท์และรูปไวยากรณ์ที่ไม่มีในหนังสืออีกเล่มที่บีมใช้เรียน
7. ในส่วนของข้อสอบชุดนึงบีมทำหลายรอบเหมือนกัน ทำวนไปโดยการสุ่ม จะได้จำไม่ได้ว่าทำไปแล้วหรือยังไม่ได้ทำ พยายามดูว่าเราผิดตรงไหน ต้องหาคำตอบให้ได้ บีมตั้งเป้าไว้ว่าบีมต้องทำคะแนนภาษาญี่ปุ่นให้ได้เกิน 90 เต็ม 100 ทุกฉบับย้อนหลัง (ตอนทำก็ได้บ้างไม่ได้บ้างนะ แต่ไม่เคยได้ 100 เต็ม ฮ่าๆๆ)
8. สามเดือนหลังบีมก็เลิกอ่านหนังสือแล้ว ทำข้อสอบเก่าๆอย่างเดียว อันไหนไม่เข้าใจค่อยไปเปิดอ่านทบทวน ซึ่งชีวิตม.6 บีมก็วนอยู่แค่นี้แหละ จนถึงวันสอบ
------------------------
เป็นไงสาวอึดมั้ย
ยอมรับว่าเป็นคนมีวินัยในตัวเองมากจริงๆ
ใครมาชมก็คือจะไม่ถ่อมตัวเลย เพราะเรารู้ว่าตัวเองมีนิสัยแบบนั้น
ก็ภูมิใจว่าความมีวินัยของเราคือสิ่งที่ทำให้เรามีวันนี้นะ ควรภาคภูมิมากกว่าถ่อมตัว 555555555555555555
อยากรู้แล้วใช่มั้ยวันสอบเป็นยังไง
น้ำตาแตกหลายรอบเลยจ้า
รออ่านตอนต่อไปนะ
*ตอนเก่าๆไถหาเอานะ*
BeamSensei
「ตี1 ภาษาอังกฤษ」的推薦目錄:
- 關於ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 BeamSensei Facebook 的最讚貼文
- 關於ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 Aten Arnon: เอเท็น อานนท์ Prince of Marketing Facebook 的最佳貼文
- 關於ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 เทียบเวลา 01.00 a.m. =... - ภาษาอังกฤษเพื่อการนวดไทย 的評價
- 關於ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 การบอกเวลาในภาษาอังกฤษง่ายๆ - YouTube 的評價
- 關於ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 วิธีบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ ง่ายๆ ช้าๆชัดๆ - YouTube 的評價
ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 Aten Arnon: เอเท็น อานนท์ Prince of Marketing Facebook 的最佳貼文
ในวันที่คนอื่น"หยุด"
นี่คือเวลาที่คุณ"ควรจะวิ่ง"
การที่มีวิกฤติ
น้ำท่วม
ชุมนุม
ปิดเมือง
หรือเกิดมีเหตุการณ์อะไรก็แล้วแต่
ที่ทำให้เราต้องหยุด
"มันยิ่งไม่ใช่เวลาที่คุณควรจะหยุด
แต่คือเวลาที่คุณควรจะวิ่ง"
เพราะนี่คือโอกาสที่ดีที่สุด
ที่ชีวิตคุณจะเปลี่ยนครั้งใหญ่
ถ้าคุณตามเพจนี้มาสักระยะ
คุณจะเห็นว่าทำไมพี่น้องใน1year clubถึง
แป๊บๆมีคนทะลุ5แสน
ทะลุล้าน ทะลุ10ล้าน
กันเป็นดอกเห็ดตลอดเวลา
ความลับนึงที่ผมไม่ค่อยได้พูดคือ
หลายคนอาจจะคิดว่าพวกเค้า
เก่งมากๆมาก่อน
หรือ เก่งออนไลน์สุดๆ
ใช่บางคนอาจจะมีพื้นฐาน
แต่หลายคนก็ไม่ใช่แบบนั้น
จริงๆ...
ก่อนเข้ามาบางคนยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรเลย
หรือเปิดเพจไม่เป็นเลยก็มี
แต่...
แล้วทำไม
ทำไมคน1yearclub
แต่ละคนถึงก้าวกระโดดได้
เคล็ดลับนึงคืออะไรรู้ไหมครับ....
เพราาะ....
เค้าไม่หยุด
วันหยุดเค้าก็ไม่หยุด
วันที่เค้าทำงาน
เสร็จงานก็ไม่หยุด
เค้าเรียนรู้ต่อ
พัฒนาต่อ
ทำต่อตลอดเวลา
ไม่มีเสาร์-อาทิตย์
เป็นแบบนี้กันทั้งปี
เพราะผมอยู่ในกลุ่มline
Line กลุ่ม 1yearมันเด้งตลอดเวลา
ไม่เคยหยุด ตี2ตี3ก็ยังมีคนลุย
Keyที่เค้าโตไว
ไม่ใช่อะไรเลย
"เพราะแค่เค้าใช้เวลา24ชมได้คุ้มค่ากว่า
ที่คนอื่นๆใช้แค่นั้นเอง"
คนอื่นทำงาน-แต่หาเวลาหยุด
แต่พวกเค้าหาเวลาทำเพิ่ม
เนี่ย1ในความลับ
ในวันที่คนอื่น"หยุด"
แต่เค้า"วิ่ง"
— - ————
ตอนผมสร้างตัว
ผมจำได้ดีช่วงน้ำท่วม
ทำงานไม่ได้หลายเดือน
เพื่อนหยุดไปเที่ยวชุดใหญ่กัน
ผมก็อยากไป
แต่เพราะผมรู้ว่า
ผมกำลังต้องแลกเวลาส่วนนึง
กับความสำเร็จอยู่
มันจะเป็นการทำงานหนักช่วงนึงของชีวิต
เพื่อแลกกับอนาคต
มีวันนึงผมบอกเพื่อนเลยว่า....
ขอโทษหว่ะ
เราภาระ มีหน้าที่
มีพ่อแม่ครอบครัวที่เราต้องรับผิดชอบแล้ว
และเรามีที่ฝันใหญ่
เราต้องทุ่มเวลาส่วนนึง
เพื่อแลกกับมัน
เราอาจจะไม่ได้พบกันบ่อย
แต่แน่นอนมิตรภาพเรายังเช่นเดิม
และวันนึงที่เราทำได้แล้ว
วันนั้นเราจะมีเวลาให้นายเสมอ
ผมพูดแบบนั้น
เพื่อนผมทุกคนเข้าใจ
คุณไม่ต้องกลัวเลย
เพื่อนที่ดีที่รักคุณเค้าจะเข้าใจคุณ
เค้าจะสนับสนุนคุณเสมอ
ช่วงนั้นผมก็ทุ่มเท
หาความรู้ หาไอเดีย
ไปลงเรียนหลายเรื่อง
โดยเฉพาะการทำonline
จากวันนั้นถึงวันนี้
ผมไม่เคยคิดเสียดายช่วงวันนั้นที่ไม่ได้เที่ยวเลย
ที่ผมแลกมันมา
"เพราะสุดท้ายมันทำให้ผมมีวันนี้"
———-
เพราะฉะนั้น
ถ้าคุณฝัน
ถ้าคุณอยากได้รางวัล
ถ้าคุณอยากสำเร็จในชีวิต
มันต้องไม่ใช่แค่อยากได้
""แต่คุณต้องทุ่มเทเพื่อมัน""
ถ้าคุณเก่ง แต่ชีวิตยังไม่ดีเท่าที่ควร
คุณต้องขยันในช่วงนี้
"ในช่วงที่คนอื่นหยุด"
ลงทุนเรียนรู้ในสิ่งที่ผลักชีวิตคุณขึ้นไปอีก
เช่น ทักษะต่างๆ
ภาษาอังกฤษ การขาย
โดยเฉพาะเรื่องการทำonline
"แต่ถ้าคุณไม่เก่ง ไม่มีพื้นฐาน
แต่อยากสำเร็จ
เหมือนกับผมช่วงนั้นที่ไม่มีอะไรเลย
คุณยิ่งต้องขยันเพิ่มขึ้น"
แต่ถ้าคุณบอกไม่มีทุนอีก ไม่มีเงิน
ผมจะบอกว่าทุนนึงที่คุณมีอยู่แล้ว
"คือความพยายาม"
ข้อมูลมีเยอะมากๆ
ทั้งแบบฟรี
และแบบลงทุนเงินเรียนลึกๆ
หน้าเพจ และyoutubeผม
ก็มีคลิปความรู้ฟรีเยอะมากๆ
หลายเทคนิค หลายทักษะ
ทั้งการขาย การตลาด การทำonline
ถ้าคุณไม่มีทุน
คุณเรียนจากหน้าเพจนี้ได้เลย
ตั้งแต่ผมเปิดเพจนี้มา6ปีร่วม7ปี
ผมได้รับinbox เกือบ1,000 ข้อความ
ว่าเค้าชีวิตเปลี่ยนได้
จากการเรียนข้อมูลฟรีหน้าเพจ
จากบทความ จากคลิป
แต่ถ้าคุณฟังผมแล้ว
รู้สึกว่าไม่ชอบการพูดจาของผม
ฟังไม่ถูกหู ไม่ถูกเคมีคุณ
ก็อย่าให้ความไม่ชอบผม
มันมาหยุดการเรียนรู้คุณ
มีเพจอื่นๆมากมายที่เค้าให้ความรู้คุณได้
คุณถูกชะตากับใคร ถูกเคมีใคร
ก็ไปศึกษาจากเค้า
ไปตามเพจเค้า
———
ย้ำนะครับ
ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่คุณจะเรียนรู้
เป็นช่วงที่ดีดีที่สุดที่คุณจะเปลี่ยนแปลง
การมีวิกฤติ
มีชุมนุม
หรือการประกาศปิดเมือง
หรือการการที่ทุกคนเค้าหยุดกัน
นี่มันไม่ใช่เวลาที่คุณควรจะหยุด
"แต่คือเวลาที่คุณควรจะวิ่ง"
วิ่งในขณะ
"ที่คนอื่นเค้าหยุด"
"วิ่งเพื่อชีวิตคุณจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป"
จงใช้เวลาช่วงนี้ให้เต็มที่
ถ้าทำอะไรได้ทำ
ถ้าทำไม่ได้
จงใช้เวลานี้ศึกษา
เรียนรู้
อย่าให้เวลามันผ่านไปโดยไม่ได้ทำอะไรเลย
"เพราะนี่คือโอกาสที่ดีที่สุด
ที่ชีวิคตุณจะเปลี่ยนครั้งใหญ่"
-----
และถ้าคุณกลัวคนรอบตัว
กลัวครอบครัว
หรือกลัวเพื่อนจะไม่เข้าใจ
คุณบอกเพื่อนๆที่คุณรักไปเลยว่า
ขอโทษด้วย
เราภาระ มีหน้าที่ มีพ่อแม่ครอบครัวเราต้องรับผิดชอบ
เรามีฝันใหญ่
เราต้องทุ่มเวลาส่วนนึง
เพื่อแลกกับมัน
เราอาจจะไม่ได้พบกันบ่อยๆ
แต่มิตรภาพเรายังคงเดิม
และวันนึงที่เราทำได้แล้ว อยู่ตัวแล้ว
เราจะมีเวลาให้นายให้เธอเสมอ
คุณไม่ต้องกลัวเลย
เพื่อนที่ดีที่รักคุณ
เค้าจะเข้าใจคุณ
เค้าจะยิ่งสนับสนุนคุณให้เจริญเติบโตยิ่งขึ้น
-
การที่มีวิกฤติ มีเหตุการณ์
นี่มันไม่ใช่เวลาที่คุณควรจะหยุด
แต่คือเวลาที่คุณควรจะวิ่ง
วิ่งในขณะ
ที่คนอื่นเค้าหยุด
วิ่งเพื่อชีวิตคุณจะไม่กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป
เพราะนี่คือโอกาสที่ดีที่สุด
ที่ชีวิตตุณจะเปลี่ยนครั้งใหญ่
ในวันที่คนอื่น"หยุด"
นี่คือเวลาที่คุณ"ควรจะวิ่ง"
A10(เอเท็น)
ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 การบอกเวลาในภาษาอังกฤษง่ายๆ - YouTube 的必吃
... one = 1.15 น. ตัวอย่างประโยค ภาษาอังกฤษ I'll meet you at a quarter past five. ... o'clock one o'clock = ตี หนึ่ง/สิบสามนาฬิกา two o'clock ... ... <看更多>
ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 วิธีบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ ง่ายๆ ช้าๆชัดๆ - YouTube 的必吃
69K views · 1 year ago #เรียน ภาษาอังกฤษ ฟรี ...more. English Down-under. 200K. ... <看更多>
ตี1 ภาษาอังกฤษ 在 เทียบเวลา 01.00 a.m. =... - ภาษาอังกฤษเพื่อการนวดไทย 的必吃
เทียบเวลา 01.00 a.m. = ตีหนึ่ง 02.00 a.m. = ตีสอง 03.00 a.m. = ตีสาม 04.00 a.m. = ตีสี่ 05.00 a.m. = ตีห้า 06.00 a.m. = หกโมงเช้า 07.00 a.m. =... ... <看更多>